ตั้งแต่มนุษย์คู่แรกได้ถูกสร้างขึ้นโดยการสืบเชื่อสายเผ่าพันธุ์จนมาถึงยุคสมัยของเรา
ตั้งแต่มนุษย์คู่แรกได้ถูกสร้างขึ้นโดยการสืบเชื่อสายเผ่าพันธุ์จนมาถึงยุคสมัยของเรา และจะสืบเชื่อสายไปจนถึงวันสิ้นโลก ด้วยขบวนการการผสมพันธุ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และขั้นตอนเหล่านี้จะถูกใช้กับลูกหลานอาดัมทั้งหมด เพราะพวกเขาอยู่ในกระดูกสันหลังของพ่อคนแรกของพวกเขาในขณะที่พ่อของพวกเขาได้ถูกสร้างขึ้น
พระมหาคัมภีร์อัลกรุอาน ได้สรุปขั้นตอนทั้งหมดนี้ไว้ใน คำตรัสของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า :
وَاللهُ أَنْبَتَكُمْ مِنَ الأرْضِ نَبَاتًا * ثُمَّ يَعِيْدُكُمْ فِيْهَا وَيُخْرِجُكُمْ إِخْرَاجاً
ความว่า: “และอัลลอฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดินเฉกเช่นพืชผัก หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้พวกเจ้ากลับคืนสู่ในแผ่นดินและจะทรงให้พวกเจ้าออกมาอีกเพื่อคืนชีพ” (นูฮฺ: 17-18)
นี้คือความมหัศจรรย์ที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้ได้ในยุคที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานลงมาและในตลอดระยะเวลาที่ยาวนานหลังจากดังกล่าว
ในช่วงแรกจากคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า
والله أنبتكم من الأرض نباتا
ความว่า: “และอัลเลาะฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดินเฉกเช่นพืชผัก”
ในโองการนี้พระองค์ได้โต้ตอบกับบรรดามนุษย์ ซึ่งร่างกายของพวกเขาจะเจริญเติบโตได้ด้วยกับแร่ธาตุในดินโดยทางอ้อมจากผลิตผลที่ได้จากพืชผักที่มาจากดิน ซึ่งพืชผักเหล่านี้ได้ดูดซับแร่ธาตุต่างๆ จากดิน และดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ และแปลสภาพองค์ประกอบเหล่านี้ให้เป็นอาหารแก่มนุษย์และสัตว์ นั้นก็คือพืชผักและก๊าซออกซิเจนซึ่งต้นไม้ได้ปล่อยสู่อากาศเพื่อให้มนุษย์และสัตว์ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไปจนถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป
ในช่วงสองจากคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า
ثم يعيدكم فيها ويخرجكم إخراجا
ความว่า: “หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้พวกเจ้ากลับคืนสู่ในแผ่นดิน และจะทรงให้พวกเจ้าออกมาอีกเพื่อคืนชีพ”
เราท่านทั้งหลายจะต้องกับคืนสู่แผ่นดินอย่างแน่นอนหลังจากตายไปแล้ว ทุกๆ ชีวิตย่อมพบกับความตายและไม่มีผู้ใดที่จะหนีความตายพ้น ซึ่งตรงกับคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซ.ล.) ที่ว่า
كل نفس ذائقة الموت ثم إلينا ترجعون
ความว่า: “ทุกๆ ชีวิตเป็นผู้ลิ่มรสความตาย แล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับยังเรา” (อัลอังกาบูต: 57)
หลังจากตายไปแล้ว มนุษย์ทั้งหมดจะต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งเพื่อคิดบันชีจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำในตอนที่อยู่ในโลกดุนยานี้
แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพต่างสงสัยว่า จริงหรือที่เราจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจากที่ตายไปแล้ว? แต่ถ้าเรามองจากจุดเล็กๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงว่า ชีวิตหรือร่างกายคนเรามีการตายและการเกิดใหม่อยู่ทุกวินาที ในร่างกายคนเราประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการตายและเกิดใหม่อยู่ทุกวินาที สิ่งต่างๆ ที่เราไม่คาดคิดยังมีอยู่อีกมากมาย ไฉนเล่าการเกิดใหม่ในภพหน้าจะมีขึ้นไม่ได้ นี้คือหลักฐานทางด้านสติปัญญาที่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ยังมีเรื่องราวที่น่าประหลาดใจและซับซ้อนที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์และอัลฮาดีษได้บอกให้เราได้รู้ล่วงหน้าไว้แล้วว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
เราขอโต้บรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพด้วยกับคำกล่าวของท่านร่อซูล (ซ.ล.)ซึ่งรายงานมาจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺที่ว่า
عن أبي هريرة (رضي الله تعالى عنه) أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال ((كل ابن آدم يأكله التراب إلا عجب الذنب منه خلق وفيه يركب)) رواه مسلم في صحيحه
ความว่า:รายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า :
“ดินจะกัดกินลูกหลานอาดัม (มนุษย์) ทุกคน เว้นไว้แต่เพียงกระดูกก้นกบ ซึ่งจากมันนี้เองลูกหลานอาดัม (มนุษย์) จะถูกสร้างมาอีกครั้ง และในมันนี้เองลูกหลานอาดัม (มนุษย์) จะถูกประกอบขึ้นมาอีกครั้ง”
และได้มีคำรายงานจากท่านอบีซอีดอัลคุดรีย์ (ร.ฎ.) ว่า
عن أبى سعيد الخدرى (رضي الله عنه) أن رسول الله (صلى الله عليه وسلم) قال: ((يأكل التراب كل شيئ من الإنسان إلا عجب ذنبه)) قيل:وماهو؟ يا رسول الله قال:((مثل حبة خردل منه ينشأ))
ความว่า: รายงานจากท่านอบีซอีดอัลคุดรียฺ (ร.ฎ.) ว่า ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า : “ดินจะกัดกินทุกๆ ส่วนของมนุษย์นอกจากกระดูกก้นกบ” มีผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า และมันคืออะไร? โอ้ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ ท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺจึงกล่าวว่า “มันเหมือนกับเมล็ดผักกาด ซึ่งจากมันนี้เองจะได้เกิดขึ้นมาอีก”
และได้มีคำรายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺอีกว่า
عن أبي هريرة أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال ((ما بين النفختين أربعون .. ثم ينزل الله من السماء ماء فينبتون كما ينبت البقل وليس من الإنسان شيء إلا يبلى إلا عظما واحدا وهو عجب الذنب ومنه يركب الخلق يوم القيامة)) رواه المسلم.
ความว่า: รายงานจากท่านอบีฮูรอยเราะฮฺ (ร.ฎ.) ว่าท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า “สิ่งที่อยู่ระหว่างการเป่าสังข์ทั้งสองครั้งคือสี่สิบ .. หลังจากนั้นอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ก็จะประทานน้ำมาจากฟากฟ้า แล้วพวกเขาก็จะงอกขึ้นมาประดุจดั่งเมล็ดผักที่งอกเงย และทุกๆ ส่วนจาก (ร่างกาย) มนุษย์จะศูนย์สลายนอกจากกระดูกชิ้นหนึ่งชิ้นเดียวนั้นก็คือปลายกระดูกก้นกบ และจากมันนี้เองการสร้าง (มนุษย์) จะถูกประกอบขึ้นอีกครั้งในวันฟื้นคืนชีพ”
ความหมายของสี่สิบยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า สี่สิบวัน สี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี ซึ่งบรรดาอัครสาวกของท่านร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) ได้กล่าวกับท่านอบีฮูรอยเราะฮฺว่า สี่สิบวัน สี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี ท่านอบีฮูรอยเราะห์จึงกล่าวว่า ฉันปฏิเสธการที่ฉันจะถือว่ามันคือสี่สิบวันสี่สิบเดือนหรือสี่สิบปี แต่ฉันถือว่ามันคือสี่สิบ และท่านอีหม่ามนาวาวีได้ให้ความเห็นว่าสี่สิบนี้คือสี่สิบปี
จากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและอัลฮาดีษที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้ชี้ชัดว่าเรือนร่างคนเราทุกๆ คนจะต้องสูญสลายโดยไม่มีการยกเว้นให้กับคนใด นอกจากทุกๆ บรรดานบี บรรดาผู้มรณะสักขีและบรรดาผู้เรียกร้องสู่การละหมาด
และมีคำพูดอีกมากมายซึ่งกล่าวถึงกระดูกก้นกบได้ประมวลข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใดล่วงรู้ถึงข้อแท้จริงนี้ จนมาถึงในต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันนามว่า Hans Spemann และเหล่าเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการวิจัยกันถึงเรื่องกระดูกก้นกบนี้ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบิลสาขาวิทยาศาสตร์ในปีค.ศ.1935 จากการค้นพบThe primary Organizer และยืนยันการทำงานของมันในการสร้างทุกส่วนจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะและระบบของร่างกายทั้งหมดโดยเริ่มค้นคว้าจากกระดูกก้นกบของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
ผลจากการค้นคว้าวิจัยที่สำคัญดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
1. ทุกๆ ส่วนจาก The Primitive Streak (การเริ่มต้นแบบเส้นด้าย) และ The Primitive Node (การเริ่มต้นแบบปม) ซึ่ง The Primitive Streak จะแบกรับ The Primitive Node เอาไว้ที่ท้ายของมัน และทั้งสองนี้จะถูกพบอยู่บนชั้นของไข่ที่ผสมแล้ว ซึ่งทั้งสองมีหน้าที่สร้างส่วนต่างๆ ของทารก เพราะเหตุนี้นาย Hans Spemann จึงเรียกทั้งสองว่า The primary Organizer (ผู้มีหน้าที่จัดการเบื้องต้น)
2. The primary Organizer (ผู้มีหน้าที่จัดการเบื้องต้น) จะถูกถอดถอนไปยังปลายของกระดูก ก้นกบ หลังจากที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกสร้างอย่างครบถ้วนแล้ว (ซึ่งทารกจะถูกสร้างอย่างครบถ้วนในช่วงท้ายของสัปดาห์ที่ 4 จากอายุของมัน)
3. กระดูกข้อสุดท้ายของกระดูกสันหลังนั้นก็คือกระดูกก้นกบ (Coccyx) มันจะไม่มีวันสูญสลายอย่างแน่นอน ซึ่งนาย Hans Spemann และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการตัดเอาส่วนของ The Primitive Streak และ The Primitive Node จากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายชนิด แล้วนำไปฝังในตัวทารกที่อยู่ในท้องของพวกมัน แล้วส่วนที่นำไปฝังนี้ ก็มีการเจริญเติบโตในรูปของทารกอีกตัวหนึ่งซึ่งแตกต่างจากทารกตัวแรก
ต่อมานาย Hans Spemann และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทำการทำลายส่วนที่มีชื่อว่า The primary Organizer แล้วนำไปฝังไว้ในตัวทารก แล้วส่วนที่นำไปฝังก็มีการเจริญเติบโตในรูปของทารกอีกตัวหนึ่งเช่นเดียวกับการทดลองครั้งแรก การทดลองในครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเซลล์ต่างๆ ของ The primary Organizer ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อกระบวนการการทำลาย หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำการทดลองโดยนำเอาส่วน The primary Organizer ที่ได้จากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมาทำการต้มอยู่หลายชั่วโมง ผลทดลองก็เป็นอย่างเคย หลังจากการทดลองของนายHans Spemann ผ่านไป 69 ปีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2003 ดร.อุซมานญีลานชาวเยเมนได้ทำการทดลองโดยการนำเอากระดูกสันหลังที่มีกระดูกก้นกบ 5 ชิ้นของแกะมาทำการเผ่าด้วยปืนไฟถึง 10 นาทีจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วนำเอาขี้เถ้ามาให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อเยื่อวิจัยในมหาวิทยาลัยซอนอาอฺ จนเป็นที่ชัดเจนได้ว่าเซลล์ต่างๆ ของกระดูกก้นกบยังคงมีชีวิตและไม่มีร่องรอยการการเผ่าทั้งๆ ที่กล้ามเนื้อ เยื่อไขมัน เซลล์ของไขกระดูกที่มีอยู่ในกระดูกสันหลังและสิ่งที่อยู่รอบๆ ถูกเผ่าจนเกลี้ยง แต่เซลล์ของกระดูกก้นกบไม่มีร่องรอยของการเผ่าเลย
กระดูกก้นกบของมนุษย์
การนำเอาผลทดลองของนาย Hans Spemann และสิ่งที่เขาได้ศึกษามาใช้กับมนุษย์ได้เผยชัดแก่วิชาว่าด้วยการกำเนิดดังต่อไปนี้
1. ตัวสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้วจะประกอบขึ้นเพียงแค่ไข่ของผู้หญิงไปผสมกับตัวอสุจิของผู้ชาย
2. สเปิมร์ที่มีการปฏิสนธิแล้วนี้จะเริ่มแบ่งเป็นเซลล์เล็กๆและเล็กลงเรื่อยๆซึ่งจะเรียกการแบ่งนี้ว่า Blastomeres หลังจาก 4 วันผ่านไป ตัวสเปิมร์จะเปลี่ยนเป็นเซลล์ก้อนกลมๆ คล้ายผลหม่อนซึ่งจะถูกเรียกว่า Morula
3. ในวันที่ 5 Morula จะแบ่งเป็นสองส่วนเท่าๆ กันซึ่งมีส่วนประกอบที่เรียกว่า Blastocyst ซึ่งมันจะเริ่มที่จะฝังเข้าไปในผนังมดลูกในวันที่ 6โดยผ่านเซลล์เชื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากมัน และเซลล์ Morula จะเกาะติดด้วยกับเซลล์เชื่อมเหล่านี้กับผนังมดลูก ซึ่งเซล ล์Morula จะเปลี่ยนเป็นก้อนเลือด และเซลล์เชื่อมจะเปลี่ยนเป็นรก
4. ประมาณวันที่ 15 จากอายุของสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้ว กลุ่มของเซลล์ชั้นสูงของยีน (Gene) ที่เป็นกลุ่มก้อนจะเริ่มพัฒนาเป็นรูปของเส้นยาวซึ่งถูกเรียกว่า the primary or Primitive Streak
และด้วยความยาวของ The Primitive Streak ปลายสุดของมันที่อยู่ด้านหน้าจะมีขนาดใหญ่ ซึ่งมีลักษณะที่ถูกเรียกว่า The Primitive knot or Node และในเวลาเดียวกันมันจะประกอบไปด้วย A Narrow Primitive Groove ซึ่งมันจะผ่านไปยังหลุมที่ตื้นใน The Primitive Node หลุมนี้จะถูกเรียกว่า The Primitive Pit
5. ในวันที่ 16 จากอายุของสเปิมร์ที่ปฏิสนธิแล้ว เซลล์ชั้นกลางจะเริ่มปรากฏขึ้น (The Intraembryonic Mesoderm) ระหว่างเยื่อชั้นภายนอกของทารก (The Embryonic Ectoderm) และเยื่อชั้นภายในของทารก (The Embryonic Endoderm) และอัลลอฮฺได้ให้เซลล์ชั้นกลางนี้สามารถแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและแบ่งไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ และให้มันแยกย้ายไปเพื่อทำการสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะและส่วนต่างๆ ของร่างกาย และส่วนหนึ่งจากการแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ของเซลล์เหล่านี้ก็คือการที่มันเคลื่อนไหวจาก The Primitive Node เพื่อทำการสร้างจุดเริ่มของเส้นกระดูกสันหลัง (Notochordal Process) ซึ่งระบบประสาทจะเกิดขึ้นมาจากมันโดยการแตกแขนงของมัน หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้ (เซลล์ที่มีการแบ่งไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นๆ) จะเคลื่อนไหวเพื่อทำการสร้างอวัยวะที่เหลือ และ The Primitive Streak จะคงมีการกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาในการสร้างเซลล์ชั้นกลาง (The Intraembryonic Mesodrmal Cells) จนกระทั่งสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 4 จากอายุของทารกโดยประมาณ หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้เริ่มที่จะขับออกมาอย่างเรื่อยๆ และ The Primitive Streak ลดขนาดลงอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเล็กจนเกือบที่จะไม่เห็นและจะถูกถอนไปยังเขตของกระดูกก้นกบของทารก (The Sacrococcygeal Region of the Embryo)
และบรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ได้รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลได้ประทานความสามารถให้แก่เซลล์ The Primitive Streak เหนือชั้นต่อขบวนการสร้าง
ดังกล่าวนี้จะชี้ชัดให้เห็นข้อเท็จจริงว่า เซลล์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะนี้เมื่อมันไปกระทบกับแสง มันจะเจริญเติบโตในรูปลักษณะของการบวมอย่างมาก และจะเรียกลักษณะการบวมนี้ว่า (Teratoma) ซึ่งมันประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ และในบางทีก็ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ
จากเรื่องดังกล่าวนี้ อัลลอฮฺ( ซ.บ.) ทรงตรัสไว้ ว่า
وأنَّ عَلَيْهِ النَشْأَةَ الأُخْرَى
ความว่า: “และแท้จริง เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้เกิดอีกครั้งหนึ่ง” (อันนัจมฺ:47)
ความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และอัลฮาดีษอันทรงเกียรติทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ขาดว่าอัลกุรอานไม่สามารถที่จะสร้างมนุษย์ได้ แต่มันคือคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลผู้ทรงประทานมันมาด้วยกับความรู้ให้แก่ร่อซุ้ลุล้ลลอฮฺ (ซ.ล.) และพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ยังเป็นผู้ทรงปกปักรักษามันไว้ทุกถ้อยคำทุกอักษรมาเป็นระยะเวลามากกว่า 14 ศตวรรษจวบจนกระทั้งถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพด้วยกับสัญญาของพระองค์เอง และความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์นี้ยังชี้ให้เห็นว่านายของเรามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) เป็นผู้บอกข่าวดีแก่ผู้ปฏิบัติตาม และเป็นผู้บอกข่าวร้ายแก่ผู้ปฏิเสธทั้งมวล และเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อย่างแท้จริง
แปลและเรียบเรียงโดย: อะห์หมัด มุสตอฟา (รังสิมันตุ์) โต๊ะลง