ประวัติท่าน คอลิด บิน อัล-วะลีด ฉายา ดาบแห่งอัลเลาะฮ์


1,118 ผู้ชม

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิของอัลลอฮฺ ขอการเจริญพรและความสันติมีแด่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ข้าขอปฏิญาน


ประวัติท่าน คอลิด บิน อัล-วะลีด ฉายา " ดาบแห่งอัลเลาะฮ์ "


เขาเปรียบเสมือนดาบของอัลลอฮฺที่อัลลอฮฺนำมาเพื่อปราบบรรดามุชริกีนและมุนาฟิกีน


มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิของอัลลอฮฺ ขอการเจริญพรและความสันติมีแด่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ข้าขอปฏิญานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุหัมมัดนั้นเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ 

ต่อไปนี้เป็นเนื้อหาบางส่วนของประวัติผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งจากบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในประชาชาติอิสลาม เป็นวีรบุรุษท่านหนึ่ง และเป็นสุดยอดอัศวินผู้กล้า เขาเป็นเศาะหาบะฮฺที่ยิ่งใหญ่ของท่านศาสนทูต

ประวัติท่าน คอลิด บิน อัล-วะลีด ฉายา ดาบแห่งอัลเลาะฮ์

การเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามของแม่ทัพหนุ่มแห่งมักกะฮ์ (เมกกะ)

นี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้ ชาวอาหรับเผ่ากุร็อยช์ แห่งเมืองมักกะฮ์ต้องสะเทือน เมื่อแม่ทัพหนุ่มผู้ห้าวหาญ เก่งฉกาจเด็ดขาด และฉลาดหลักแหลมในการรบ อันเป็นความมั่นใจของพวกเขา ที่ชื่อ คอลิด อิบนุล วาลิด ได้เกิดความคลอนแคลน จากการเชื่อในศาสนาที่บูชารูปปั้นที่พวกเขาสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ หันมาสนใจในศาสนาอิสลาม

และคงเป็นด้วยความเป็นผู้มีปัญญาวิจารณญาณและหลักแหลมของเขา ที่ได้เห็นการมาแสวงบุญอย่างเป็นระเบียบ และหมดจรดในการปฏิบัติ ศาสนกิจของท่าน นบี(ศาสนทูต)มูฮัมหมัด ที่ทำแบบอย่างแก่สาวก ได้ส่งผลทางจิตใจของเขาเป็นอย่างยิ่งในการเฝ้ามองพฤติกรรมของบรรดามุสลิม ในสามวันที่ชาวมักกะฮ์อนุญาตให้มุสลิมเข้ามายังสักการะสถาน ตามข้อสัญญาที่ตกลงกันเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ห้ามมุสลิมเข้ามาถึงเจ็ดปี การแต่งงานของ ท่านหญิงมัยมูนะฮ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าของเขา กับท่านนบี มูฮัมหมัด นั้นก็เป็นสิ่งที่กระชับความใกล้ชิดในความเป็นเครือญาติแก่เขาอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้


แม้เวลาเหล่านั้นจะผ่านไปพอสมควรแล้ว แต่ภาพและเรื่องราวของมุสลิมยังคงติดอยู่ในความคิดของเขา วันหนึ่งเขาได้กล่าวแก่สหายของเขาว่า

“เรื่องราวของมูฮัมหมัดนั้นเป็นที่ชัดเจนผู้ใคร่ครวญและมีวิจารณญาณแล้วว่า มูฮัมหมัด มิได้เป็นบ้า หรือถูกภูตผีสิงและบันดาลใจ หรือเป็นพวกนักเล่นกลหรือ พวกกวีก็หาไม่ แต่ถ้อยคำที่เขานำมานั้น คือถ้อยคำที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกอย่างแท้จริง ฉะนั้นคนใดที่มีสามัญสำนึกก็ควรที่จะทำตามที่เขาสอน”

อิกรูมะฮ์ สหายที่สนทนากับเขารู้สึกตกใจในคำพูดของคอลิด กล่าวว่า

“โอ้ คอลิด ท่านได้ถูกล้างสมองไปแล้วกระมัง?”

คอลิดกลับตอบว่า

“ฉันไม่ได้มึนเมาหรือถูกล้างสมองหรอก เพียงแต่ เป็นอิสลามไปแล้วเท่านั้น”

สหายของเขาประหลาดใจมากเพราะ คอลิดนั้นเป็นศัตรูกับศาสนาอิสลาม

อย่างยิ่งยวด และเป็นแม่ทัพ ที่เมื่อเขาออกรบทุกครั้ง ทุกคนต่างก็หวาดผวา ในการชำนาญการศึก และโหดเหี้ยมของเขาทั่วอารเบีย แม้แต่ฝ่ายมุสลิมก็เคยพ่ายท่า แพ้มาแล้วในสงครามอุฮุด 

“ ไม่ควรมีคำพูดคำนี้ จากคนเผ่ากุรอยช์ของพวกเรา โดยเฉพาะท่าน ยิ่งไม่ควรที่สุด ”

“ทำไมหรือ” คอลิดถาม อิกริมะฮ์ สหายของเขา

“เพราะมูฮัมหมัด ทำให้บิดาของท่านต้องเสียเกียรติ เขาฆ่า ลุงและพี่น้องของท่านในสงครามบัรด์ ให้ตายเถอะ ฉันจะไม่ยอมให้ตัวฉันต้องไปนับถือศาสนาอิสลาม และจะไม่ยอมพูดอย่างที่ท่านพูดเป็นอันขาด ท่านก็เห็นแล้วว่าชาวกุร็อยช์นั้น พร้อมที่จะต่อสู้กับมูฮัมหมัดและสาวกของเขาตลอดเวลา”

คอลิดกล่าวว่า

“สิ่งที่ท่านพูดนั้นล้วนมาจากความไม่รู้ อันเป็นการยึดถือในเผ่าพันธุ์ วงศ์ตระกูล และความมีอคติ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคก่อนที่ศาสนาอิสลาม จะถูกประกาศ แต่ตอนนี้ ข้าได้เป็นมุสลิมแล้ว สัจธรรมได้วางอยู่ตรงหน้าข้าอย่างชัดเจนแล้ว”

คอลิดได้ส่ง นางม้าหลายตัวไปให้ท่านนบี พร้อมสาส์นที่แสดงว่าเขาต้องการจะรับศาสนาอิสลาม

เมื่อข่าวนี้ไปถึงหูของอบูซุฟยาน ผู้อาวุโสแห่งเผ่ากุร็อยช์ อันเป็นหัวหน้าในการต่อต้านอิสลามของเมืองมักกะฮ์คนสำคัญ เขาโมโหมากเพราะมันจะมีผลต่อชาวเมืองเป็นอย่างมาก เมื่อพบคอลิด เขาได้สอบถามอย่างเดือดดาลว่า

“ในนามของ อัตลาตและอุซซา(เทวรูปสำคัญที่ชาวอาหรับบูชาในเวลานั้น) ถ้าสิ่งที่ข้าได้ยินมาเกี่ยวกับตัวเจ้าเป็นความจริงละก็ ข้านี่แหละจะฆ่าเจ้าเสียก่อนที่จะฆ่ามูฮัมหมัด”

“ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ท่านได้ยินนั้นถูกต้องแล้วละ หากอะไรจะเกิด ก็ขอให้มันเกิดเถอะ”

เป็นคำตอบของคอลิดทำให้อบูซุฟยาน ถลันเข้าไปหมายเอาชีวิตคอลิด เขาคงลืมไปว่าคอลิดนั้นเป็นแม่ทัพหนุ่มที่มีฝีมือเพียงใด แต่ อิกริมะฮ์ ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเข้าไปฉุดมือ ผู้อาวุโสของเผ่ากุรอยช์ไว้และกล่าวว่า

“ช้าก่อนท่านผู้อาวุโส ด้วยพระนามของพระเจ้า ข้าเองก็จะพูดอย่างที่คอลิดพูดเหมือนกัน หากฉันไม่เกรงว่าเผ่ากุร็อยช์ของเราต้องพินาศ ข้าก็จะไปเข้าร่วมศาสนาเดียวกับเขา นี่ท่านกำลังจะฆ่าคอลิดเพียงเพราะเขาเปลี่ยนความเชื่อ ในขณะที่คนเผ่ากุร็อยช์ได้ยกย่องให้เขาเป็นผู้นำในการรบ ข้าคิดว่า ไม่ทันจะพ้นฤดูนี้ ชาวมักกะฮ์ก็อาจจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาตามผู้นำคนนี้ก็ได้”

ในคราวนั้นมีคนสำคัญในมักกะฮ์ เปลี่ยนมานับถือศาสนา อิสลามสามคน รวมทั้งผู้ที่ดูแล วิหารกะอ์บะฮ์(บ้านของพระเจ้า)ด้วย ส่งผลให้ชาวมักกะฮ์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามอีกหลายคน คนเหล่านี้ทำให้พลังของอิสลามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก ในคาบสมุทรอารเบีย

ท่านคอลิดรับอิสลามในปีที่แปดฮิจญ์เราะฮฺ และเข้าร่วมสงความมากมายหลายครั้ง นักประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า

“เขาไม่เคยพ่ายแพ้ในสงครามใดเลย ทั้งสงครามก่อนที่เขาจะเข้ารับอิสลามและหลังจากที่เขาเข้ารับอิสลามแล้ว”

เขากล่าวถึงตัวเองว่า “ในวันสงครามมุอ์ตะฮฺนั้นดาบในมือฉันหักเก้าเล่ม ไม่เหลือในมือฉันนอกจาก โล่ห์ เท่านั้น” 
(เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ 3/146 หมายเลข 4265)

สิ่งนี้แสดงถึงความกล้าหาญอย่างมากของท่าน และความแข็งแรงอย่างมากที่อัลลอฮฺประทานให้กับร่างของท่าน ท่านยังเป็นผู้นำกองทัพมุสลิมในสงครามอัล-ญะมามะฮฺและสงครามยัรมูก สองสงความที่โด่งดัง และท่านพร้อมกับทหารของท่านเดินทางผ่านทะเลทรายตั้งแต่พรมแดนอิรักไปจนสุดแคว้นชามในเวลาเพียงห้าคืน และนี่เป็นหนึ่งในความประหลาดของแม่ทัพผู้นี้ ท่านนบี ได้ให้สมญานามท่านว่าเป็น ดาบของอัลลอฮฺที่ถูกชักออกมาจากฝัก ท่านนบี บอกว่า เขาเป็นดาบของอัลลอฮฺที่อัลลอฮฺนำมาเพื่อปราบบรรดามุชริกีนและมุนาฟิกีน
(มุสนัด อิมาม อะห์หมัด 1/8)


เขาคืออัศวินที่ชื่อว่า คอลิด บิน อัล-วะลีด บิน อัล-มุฆีเราะฮฺ อัล-กุเราะชีย์ อัล-มัคซูมีย์ อัล-มักกีย์ เป็นลูกของพี่สาวของท่านหญิงมัยมูนะฮฺ บินตี อัล-หาริษ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา (ภรรยาของท่านนบี) เขาเป็นชายร่างใหญ่ ไหล่กว้าง แข็งแรงบึกบึน คล้ายกับอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ มากที่สุด เศาะหาบะฮฺท่านนี้มีเหตุการณ์สำคัญๆ มากมายที่แสดงถึงกล้าหาญของท่านและการทุ่มเทให้ความช่วยเหลือศาสนาอิสลามของท่าน เช่น ในสงครามมุอ์ตะฮฺที่โด่งดัง ซึ่งเกิดขึ้นในปีที่แปดฮิจญ์เราะฮฺ ปีเดียวกันกับคอลิดเข้ารับอิสลาม ทหารมุสลิมมีจำนวนสามพันคน ในขณะที่ทหารโรมันมีจำนวนถึงสองแสนคน เนื่องจากจำนวนไม่เหมาะสมกัน ทำให้เห็นความเป็นผู้นำรบที่ยิ่งใหญ่ในหมู่มุสลิม


ท่านนบี ได้แต่งตั้งผู้นำทัพให้แก่ ซัยด์ บิน หาริษะฮฺ หากเขาถูกฆ่า ก็ให้ท่านยะอฺฟัรฺ บิน อบี ฏอลิบ นำแทน และหากยะอฺฟัรฺตายก็ให้อับดุลลอฮฺ บิน เราะวาหะฮฺ นำทัพต่อ สุดท้ายทั้งหมดก็ตายชะฮีด หลังจากนั้นท่านษาบิต บิน อัรก็อม ได้คว้าธงรบชูไว้ แล้วถามบรรดาทหารมุสลิมว่า พวกท่านจงแต่งตั้งผู้นำทัพของเราหนึ่งคน แล้วพวกเขาก็เลือกคอลิด บิน อัล-วะลีด ตรงนี้เองความกล้าหาญยิ่งของท่านคอลิด และความฉลาดยิ่งของท่านจึงปรากฏชัดขึ้น ท่านได้เริ่มจัดขบวนทหารใหม่โดยให้ทหารที่รบด้านขวาย้ายไปด้านซ้ายและให้ทหารบางส่วนมาอยู่แนวหลังแล้วแสดงให้ดูเสมือนว่า มีกองหนุนเพิ่มมา เพื่อทำลายขวัญของสัตรู แล้วให้มุสลิมบุกหนัก เพื่อให้โรมันถอยและเสียขวัญ ตัวท่านเองก็ได้แสดงความกล้าหาญหลายอย่าง จนผู้กล้าและวีรบุรุษหลายคนไม่อาจเลียนแบบได้ และด้วยความฉลาดของท่าน ท่านได้ใช้วิธีการที่แยบยลในการถอยทัพอย่างเป็นระบบ และจบการสู้รบเพียงเท่านั้นเพราะท่านเห็นว่าไม่ควรสู้ต่อไปเพราะความไม่สมดุลของปริมาณทหาร และท่านนบีได้ให้สมญาการถอยทัพนี้ว่าเป็นชัยชนะ ท่านได้กล่าวขณะที่ท่านสดุดีเกียรติของแม่ทัพทั้งสามที่ตายไปว่า
“แล้วธงรบก็ถูกถือโดยดาบหนึ่งจากบรรดาดาบของอัลลอฮฺ จนกระทั่งอัลลอฮฺได้ให้ชัยชนะ”
(เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ 3/33 หมายเลข 3757)

ท่านคอลิดยังได้ร่วมในสงความปราบปรามกลุ่มพวกมุรตัด สงครามพิชิตอิรัก และบรรดานักประวัติศาสตร์มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องสาเหตุที่ท่านถูกปลดจากการเป็นแม่ทัพในการเปิดประเทศชาม ที่ถูกต้องแล้วน่าจะเป็นสิ่งที่มีรายงานจากท่านอุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านกล่าวว่า

“ไม่เลย อย่างไรเสียฉันก็จะปลดคอลิดอย่างแน่นอน เพื่อที่ผู้คนจะได้รู้ว่า แท้จริง อัลลอฮฺสามารถที่จะช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ให้ได้รับชัยชนะ แม้จะเป็นคนอื่นนำทัพแทนคอลิดก็ตาม”
(สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ 1/378)

ส่วนหนึ่งจากบรรดาคำพูดของท่านที่โดดเด่นคือ ท่านกล่าวว่า

“คืนที่ฉันได้รับการมอบเจ้าสาวที่ฉันรัก ก็ยังไม่เป็นที่รักยิ่งสำหรับฉันมากกว่า คืนที่แสนจะหนาวเหน็บ มีหิมะตกแล้วฉันเดินอยู่พร้อมกับบรรดามุฮาญิรีนในขบวนทหารหนึ่งที่ถูกส่งไปสู้รบจนรุ่งเช้าเพื่อรบกับศัตรูของอิสลาม” 
(สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ 1/375)

ท่านได้เขียนจดหมายไปยังชาวเปอร์เซีย ในนั้นท่านกล่าวว่า “แท้จริง ฉันได้นำกองทัพหนึ่งที่พวกเขารักความตาย(ในสนามรบ) เหมือนกับที่ชาวเปอร์เซียรักการดื่มสุรา”
และท่านก็อยส์ บิน อบี ฮาซิม ได้กล่าวว่าฉันได้ยินท่านคอลิดกล่าวว่า “การออกไปทำสงครามในหนทางของอัลลอฮฺได้ทำให้ฉันไม่มีเวลาในการเรียนรู้อัลกุรอาน”
(ท่านอัลหาฟิษ อิบนุ หะญัรฺ ได้กล่าวไว้ใน หนังสืออัลมะฏอลิบ อัล-อาลิยะฮฺ 4041)

ท่านอบู อัซ-ซินาด ได้กล่าวว่า 

"เมื่อใกล้สิ้นใจ ท่านคอลิดได้ร้องไห้ และรำพันว่า "แท้จริงฉันได้ร่วมในสงครามนั้นสงครามนี้มากมาย และบนร่างกายฉันนี้ ไม่มีที่ว่างแม้คืบเดียวนอกจากจะมีรอยบาดแผลจากคมดาบ ธนูและหอก แล้วนี่ฉันต้องตายอยู่บนเตียงนอนเหมือนเช่นอูฐตายกระนั้นหรือ ตาของผู้ที่ขี้คลาดคงไม่หลับสนิทหรอก" แท้จริงท่านคอลิดหวังที่จะตายชะฮีดในสนามรบ และเราหวังจากอัลลอฮฺว่าพระองค์จะให้ท่านจะได้รับผลบุญการตายชะฮีดดังที่หวัง”

เพราะมีรายงานจากท่านสะฮ์ลฺ บิน อบี อุมามะฮฺ บิน สะฮ์ลฺ บิน หะนีฟ จากปู่ของท่านว่า ท่านนบี ได้กล่าวว่า

“ผู้ใดที่ขอดุอาอ์จากอัลลอฮฺ ให้ได้รับการตายชะฮีดด้วยใจจริง อัลลอฮฺจะให้เขาได้บรรลุถึงระดับผู้ตายชะฮีด แม้เขาจะนอนตายอยู่บนที่นอนก็ตาม”
(เศาะฮีหฺ มุสลิม 3/1517 หมายเลข 1909)

และในขณะที่ท่านคอลิดเสียชีวิตนั้นท่านไม่ได้ทิ้งสมบัติใดนอกจาก ม้ารบหนึ่งตัว ดาบหนึ่งเล่มและทาสหนึ่งนาย ซึ่งท่านได้บริจาคให้เป็นทรัพย์สินในหนทางของอัลลอฮฺ เมื่อข่าวนี้ไปถึงยังท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ ท่านอุมัรฺได้กล่าวว่า

“ขออัลลอฮฺเมตตาอบู สุลัยมาน (คอลิด) เขาเป็นดังที่เราคิดไว้จริงๆ”
(สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ 1/383)

และในหะดีษของท่านอุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบในเรื่องซะกาต ท่านนบี ได้กล่าวว่า

“ส่วนคอลิดนั้น เขาได้มอบเสื้อเกราะและอาวุธต่างๆ ของเขาไว้เพื่อหนทางของอัลลอฮฺ”
(เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ 1/447 หะดีษมุอัลลัก ในเรื่องสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซะกาต)

ท่านคอลิดได้เสียชีวิตในปีที่ 21 ฮิจญ์เราะฮฺที่เมือง หิมศ์ (ฮอมส์) โดยมีอายุ 58 ปี (สิยัรฺ อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ 1/383)

บทความที่น่าสนใจ

อัพเดทล่าสุด