เมื่อพบว่า ศาสนาอิสลามไม่มีการเหยียดสีผิว ไม่มีการเหยียดชาติพันธุ์ ไม่มีการเหยียดภาษา ในศาสนาอิสลามทุกคนคือพี่น้องกันหมด จะจนหรือรวยไม่สำคัญ...
อิสลามไม่มีการเหยียดสีผิว
ณ สหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา บวกกับวิกฤติเหตุการณ์การจลาจลอันเนื่องมาจากการเหยียดสีผิว
ทำให้ศาสนาอิสลามในประเทศสหรัฐอเมริกาเบ่งบานมากยิ่งขึ้น เพราะในศาสนาไม่มีการเหยียดสีผิว ไม่มีการเหยียดชาติพันธุ์
ทำให้สิ่งนี้ถูกใจชาวอเมริกันผิวดำยิ่งนัก เพราะในประเทศสหรัฐ ชาวอเมริกันผิวดำจะถูกรังเกียจ ถูกดูหมิ่น ถูกเหยียดหยาม และถูกอธรรมเสมือนพวกเขาไม่ใช่คน พวกเขาถูกปฏิบัติเสมือนชาวอเมริกันชั้นสอง
ทำให้พวกเขาพยายามมองหาศาสนาใหม่ที่ไม่รังเกียจพวกเขา และให้ความเป็นธรรมต่อพวกเขา
เมื่อพบว่า ศาสนาอิสลามไม่มีการเหยียดสีผิว ไม่มีการเหยียดชาติพันธุ์ ไม่มีการเหยียดภาษา ในศาสนาอิสลามทุกคนคือพี่น้องกันหมด จะจนหรือรวยไม่สำคัญ เพราะอัลลอฮ์จะดูที่การกระทำและหัวใจเป็นหลัก
ทำให้พวกเขาถูกใจสิ่งนี้นักและพากันปฏิญาณตนเข้ารับอิสลามจำนวนมาก...
อิสลามกับการเหยียดสีผิว
แน่นอนเราทุกคนเคยได้ยินคำว่า “ไอดำ ไอลาว ไอแขก” และ อื่นๆ แล้วถ้าสิ่งนี่ไม่ใช่การเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ แล้วมันคืออะไร?
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2523 “African National Congress” หรือ ANC องค์กรทางการเมืองในประเทศแอฟริกาใต้ ได้เผยแพร่แถลงการณ์ต่อต้าน การเหยียดสีผิวที่นายเนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) ซึ่งเป็นผู้เขียนขึ้น ระหว่างที่ถูกจำคุกอยู่บนเกาะรอบเบน ด้วยข้อหาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการเหยียดสีผิว
การเหยียดสีผิวใน ต่างประเทศบางที่นั้น มีความรุนแรงพอสมควร ถึงขั้นลงไม้ลงมือก็เคยได้ยิน เพียงแต่มันฟังดูประหลาดที่คนไทยจะพูดต่อว่าชาวต่างประเทศ เสมือนว่าในประเทศไทยเองไม่มีแนวคิด หรือพฤติกรรมที่ไปในทางนั้นเช่นกัน หรือถ้าภาษาอังกฤษเรียกกันว่า “Hypocrisy” แน่นอนเราทุกคนเคยได้ยินคำว่า “ไอดำ ไอลาว ไอแขก” และ อื่นๆ แล้วถ้าสิ่งนี่ไม่ใช่การเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ แล้วมันคืออะไร
ในต่างประเทศอาจมีการเหยียดสีผิว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความพยายามป้องกันโดยใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีการแสดงจุดยืนของประเทศนั้นๆ แน่นอนประชาชนบางกลุ่มเปลี่ยนได้ยาก แต่อย่างน้อยก็มีความพยายามทำให้คนเข้าใจว่า การทำเช่นนั้นไม่ถูก แต่ในประเทศเรา ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คนชอบล้อเลียนกันมากที่สุดสิ่งหนึ่ง แนวคิดนี้เห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย โดยที่คนส่วนมากอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าสิ่งที่ตนทำ ก็เป็นการเหยียดสีผิวแบบหนึ่งนั่นเอง
สำหรับในอิสลามนั้น ชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองทุกคนในอิสลามถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นชาวมุสลิมหรือไม่ก็ตาม อีกทั้งศาสนาอิสลามยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี ดังนั้น ในศาสนาอิสลาม การพูดจาจาบจ้วงผู้อื่นหรือกระทำการล้อเลียนต่อผู้อื่นถือเป็นสิ่งที่กระทำ มิได้ ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ทรงตรัสไว้ ความว่า “แท้ที่จริงแล้วเลือดเนื้อของพวกเจ้า ทรัพย์สินของพวกเจ้าและเกียรติยศของพวกเจ้าจะล่วงละเมิดมิได้”
การเหยียดสีผิวจะกระทำมิได้ในศาสนาอิสลาม เนื่องจากในอัลกุรอานได้กล่าวถึงความเสมอภาคของมนุษย์ตามเงื่อนไขดังต่อไป นี้
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” (อัลกุรอาน,49:13)
อิสลามปฏิเสธการกำหนดกลุ่มปัจเจกชนคนใดหรือชนชาติใดให้เป็นที่ โปรดปรานเป็นพิเศษ อันเนื่องมาจากความมั่งคั่ง อำนาจ หรือเชื้อชาติของพวกเขาเหล่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างหมู่มวลมนุษย์ขึ้นมาให้มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งจะมีความแตกต่างกันก็แต่เฉพาะพื้นฐานของความศรัทธาและความเลื่อมใสใน ศาสนาเท่านั้น ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ทรงตรัสไว้ว่า
“โอ มนุษย์ทั้งหลาย! พระผู้เป็นเจ้าของพวกเธอก็เป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันและบรรพบุรุษของ พวกเธอ (อาดัม) ก็เป็นบรรพบุรุษคนเดียวกัน ชนชาติอาหรับก็ไม่ดีไปกว่าชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับและชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับก็ ไม่ดีไปกว่าชนชาติอาหรับ และบุคคลผิวสีแดง (เช่น สีขาวแต่งแต้มไว้ด้วยสีแดง)ก็ไม่ดีไปกว่าบุคคลที่มีผิวสีดำและบุคคลที่มี ผิวสีดำก็ไม่ดีไปกว่าบุคคลที่มีผิวสีแดง, ยกเว้นในเรื่องของความเลื่อมใสในศาสนา”
ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นคนชาติใด ทุกคนล้วนมีความแตกต่างกัน แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่มีเหมือนกันนั่นคือ เกียรติยศ อิสลามสอนให้มุอฺมินให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นชนชาติใดก็ตาม
ที่มา: ROTIVIGO , thaimuslim