ดารุ้ลอิฟตาห์ ประเทศอียิปต์ ฟัตวาว่า การอ่านยาซีนและทำอาม้าลในคืนนิสฟูชะอ์บานไม่ถือว่าเป็นบิดอะห์และกระทำได้....
ดารุ้ลอิฟตาห์ ประเทศอียิปต์ ฟัตวาว่า การอ่านยาซีนและทำอาม้าลในคืนนิสฟูชะอ์บานไม่ถือว่าเป็นบิดอะห์และกระทำได้
บิดอะห์ หมายถึง สิ่งที่ถูกอุตริกรรมขึ้นมาใหม่โดยมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคำพูด การกระทำ ในศาสนาและบทบัญญัติ โดยที่ไม่มีความชัดเจนจากท่านรอซูลุลลอฮฺ และบรรดาศอฮาบะห์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ
- นิสฟูชะบาน มันคืออะไร สำคัญไฉน?
- ซุนนะห์ในคืนนิสฟูชะอฺบาน มีอะไรบ้าง?
- ดุอาอฺขอให้เรามีชีวิตถึงเดือนรอมฎอน
บทความโดย: อิสมาแอล มูซา อัล-มัยซูดีย์
คำถาม: เรารวมตัวกันจัดการเฉลิมฉลองในคืนนิสฟูชะอ์บานมาอย่างยาวนาน ด้วยการที่คนในตำบลมารวมตัวกันไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว เด็กหรือผู้หญิง ณ มัสยิดเพื่อทำการละหมาดมัฆริบ และหลังจากละหมาด เราก็จะมีการอ่านซูเราะห์ยาซีน 3 ครั้ง หลังจบแต่ละครั้ง เราก็จะทำการขอดุอาอฺด้วยสำนวนดุอาอฺที่ปรากฎในกุรอ่าน และขอดุอาอฺให้พี่น้องมุสลิมและอิสลาม และก่อนหน้านี้เราขอดุอาอฺด้วยดุอาอฺคืนนิสฟูชะอ์บานที่เป็นที่รู้กัน โดยรวมตัวกันเพื่อทำการขอดุอาอฺดังกล่าว ต่อมาเราได้เปลี่ยนไปใช้สำนวนดุอาอฺจากกุรอ่าน ดังนั้นเราจึงอยากทราบว่า อะไรคือหุก่มของศาสนาต่อการเฉลิมฉลองคืนนิสฟูชะอ์บานด้วยรูปแบบดังกล่าว?
คำตอบโดย มุฟตี ศาสตราจารย์ ดร.อาลี ยุมอะห์
คืนนิสฟูชะอ์บาน คือ ค่ำคืนแห่งความสิริมงคล มีฮะดีษมากมายที่พูดถึงความประเสริฐของคืนนิสฟูชะอ์บานค่ำคืนนี้ และแต่ละฮะดีษก็มาสนับสนุนกันจนยกระดับไปสู่ขั้นฮะดีษฮะซันและมีความแข็งแรง
ดังนั้น การให้ความสำคัญต่อค่ำคืนนี้และฟื้นฟูมัน ถือเป็นเรื่องราวของศาสนาอย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหลังจากละทิ้งการพิจารณา(มองข้าม) บรรดาฮะดีษที่อาจเป็นฮาดีษดออีฟ (เพราะมันถูกยกระดับไปสู่ขั้นฮะซันแล้ว) หรือบรรดาฮะดีษเมาดูอ์ที่กล่าวถึงความประเสริฐของค่ำคืนนิสฟูชะอ์บาน
และส่วนหนึ่งของฮาดีษที่กล่าวถึง ความประเสริฐของค่ำคืนนี้ก็คือ ฮะดีษที่รายงานโดยพระนางอาอิชะห์ รอดิยัลลอฮุอันฮุมา พระนางได้กล่าวว่า
فَقَدْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وآله وسلم ذَاتَ لَيْلَةٍ، فَخَرَجْتُ أَطْلُبُهُ فَإِذَا هُوَ بِالْبَقِيعِ رَافِعٌ رَأْسَهُ إِلَى السَّمَاءِ، فَقَالَ: «يَا عَائِشَةُ، أَكُنْتِ تَخَافِينَ أَنْ يَحِيفَ اللهُ عَلَيْكِ وَرَسُولُهُ؟» فقُلْتُ: وَمَا بِي ذَلِكَ، وَلَكِنِّي ظَنَنْتُ أَنَّكَ أَتَيْتَ بَعْضَ نِسَائِكَ، فَقَالَ: «إِنَّ اللهَ تَعَالَى يَنْزِلُ لَيْلَةَ النِّصْفِ مِنْ شَعْبَانَ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا فَيَغْفِرُ لأَكْثَرَ مِنْ عَدَدِ شَعرِ غَنَمِ كَلْبٍ» رواه الترمذي وابن ماجه وأحمد
ความว่า: ในค่ำคืนหนึ่งท่านรอซู้ลได้หายไป ฉันเลยออกตามหาท่าน และฉันพบว่าท่านนั้นอยู่ที่บะเกียะอ์(ชื่อสถานที่)ในสภาพที่ท่านเงยหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้า และกล่าวว่า: "โอ้อาอิชะห์เอ๋ย เธอกลัวว่าอัลเลาะห์และรอซู้ลของพระองค์จะอธรรมต่อเธอกระนั้นหรือ?(ความหมายในตรงนี้คือ เธอคิดว่าฉันจะอธรรมต่อเธอด้วยการเอาคืนที่เป็นเวรของเธอไปอยู่กับภรรยาท่านอื่นงั้นหรือ)" ฉันเลยตอบกลับไปว่า: ฉันหาได้คิดลบเช่นนั้นไม่ แต่ทว่าฉันคาดคิดว่าท่านได้มาหาภรรยาบางคนของท่าน(ความหมายตรงนี้คือ พระนางไม่ได้คิดว่าท่านรอซู้ลอธรรมต่อนาง แต่พระนางคาดคิดว่าท่านรอซู้ลได้มาอยู่กับภรรยาท่านอื่น ๆ ด้วยคำสั่งของอัลเลาะห์หรือด้วยการวินิจฉัยของรอซู้ลเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องอนุญาตสำหรับรอซู้ลอยู่แล้ว จุดนี้ชี้ถึงสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด และความหึงของนาง)
ท่านรอซู้ล จึงได้พูดขึ้นมาว่า : อัลเลาะห์ตะอาลาจะให้มาลาอิกะห์ลงมายังชั้นฟ้าชั้นที่หนึ่งในคือนิสฟูชะอ์บาน และจะทรงอภัยโทษ(แก่ปวงบ่าว)มากกว่าจำนวนขนแกะของเผ่ากัลป์เสียอีก(เผ่ากัลป์ คือเผ่าอาหรับเผ่าหนึ่งที่มีจำนวนแกะมากที่สุดในบรรดาเผ่าต่าง ๆ ตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบแบบอนุมาน ความหมายก็คือ จะอภัยโทษให้อย่างมากมายเหลือคณานับ)
และฮะดีษที่ท่านมุอาซฺ บิน ญะบัล ได้รายงานจากท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า
يَطَّلِعُ الله إِلَى خَلْقِهِ فِي لَيْلَة النِّصْفِ مِنْ شَعْبَانَ فَيَغْفِرُ لِجَمِيعِ خَلْقِهِ إِلا لِمُشْرِكٍ أَوْ مُشَاحِنٍ
ความว่า: “อัลลอฮฺทรงมองยังปวงบาวของพระองค์ในคืนนิสฟูชะอ์บาน พระองค์ก็จะทรงอภัยโทษแก่พวกเขาทั้งหมด นอกจากผู้ที่ตั้งภาคีและผู้บาดหมางต่อกัน" รายงานโดยอีหม่ามต๊อบรอนีย์
และฮาดีษที่ท่านอาลี บุตรของ อะบีตอลิบได้รายงานจากท่าน รอซู้ล ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
«إِذَا كَانَتْ لَيْلَةُ النِّصْفِ مِنْ شَعْبَانَ فَقُومُوا لَيْلَهَا وَصُومُوا يَوْمَهَا؛ فَإِنَّ اللهَ يَنْزِلُ فِيهَا لِغُرُوبِ الشَّمْسِ إِلَى سَمَاءِ الدُّنْيَا فَيَقُولُ: أَلَا مِنْ مُسْتَغْفِرٍ فَأَغْفِرَ لَهُ؟ أَلَا مُسْتَرْزِقٌ فَأَرْزُقَهُ؟ أَلا مُبْتَلًى فَأُعَافِيَهُ؟ أَلا كَذَا أَلا كَذَا ...؟ حَتَّى يَطْلُعَ الْفَجْرُ» رواه ابن ماجه
ความว่า: เมื่อถึงคืนนิสฟูชะอ์บาน พวกเจ้าจงละหมาดในยามค่ำคืน และถือบวชในยามกลางวัน แท้จริงแล้วพระองค์จะส่งมาลาอิกะห์ลงมายังชั้นฟ้าของดุนยาตั้งแต่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า" โดยจะประกาศก้องว่า ไม่มีผู้ที่ทำการขออภัยโทษดอกหรือ? ข้าจะได้อภัยโทษแก่เขา ไม่มีผู้ที่ร้องขอริสกีดอกหรือ? ข้าจะได้ให้ริสกีแก่เขา ไม่มีผู้ที่ถูกทดสอบดอกหรือ? ข้าจะได้ทำให้เรารอดพ้น ไม่มีผู้แบบนั้นแบบนี้ดอกหรือ… (จะร้องเรียกไปเรื่อยๆ)" จนกระทั่งถึงเวลาซุบฮิ" รายงานโดยอิบนุมาญะห์
และไม่ถือเป็นเรื่องผิดใดๆ ที่จะรวมตัวกันอ่านซูเราะห์ยาซีนดัง ๆ 3 ครั้งหลังละหมาดมัฆริบ เพราะการกระทำดังกล่าวเข้าอยู่ภายใต้คำสั่งให้ฟื้นฟูคืนนิสฟูชะอ์บานและภายใต้คำสั่งกว้าง ๆ ที่ใช้ให้ทำการรำลึกถึงพระองค์
การเจาะจงบางสถานที่ หรือบางเวลา เพื่อทำบรรดาอาม้าลที่ซอและห์ พร้อมกับคงรักษาการทำอาม้าลเหล่านั้นไว้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกบัญญัติไว้(ทำได้) ตราบใดที่คนทำไม่ได้เชื่อมั่นว่า การกระทำอาม้าลดังกล่าวเป็นวายิบและหากละทิ้งก็จะได้รับบาป
เพราะมีรายงานจากท่านอับดุลเลาะห์ บุตรของอุมัร รอดิยัลลอฮุอันฮุมา รายงานว่า
«كَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وآله وسلم يَأْتِي مَسْجِدَ قُبَاءٍ كُلَّ سَبْتٍ مَاشِيًا وَرَاكِبًا» رواه البخاري
ความว่า: "ปรากฎว่าท่านรอซู้ล ศอลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัมจะมายังมัสยิดกุบาอ์ในทุก ๆ วันเสาร์ ด้วยกับการเดินมา หรือขี่พาหนะมา" รายงานโดยอีหม่ามบุคคอรี
และท่านอิบนุฮะญัร ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟัตหุ้ลบารีย์ว่า
"ฮะดีษดังกล่าวด้วยสำนวนที่แตกต่างกัน ชี้ชัดว่า อนุญาติเจาะจงบางวันเพื่อทำบรรดาอาม้าลที่ซอและห์ และคงรักษาการทำอาม้าลดังกล่าวในวันดังกล่าวไว้"
และท่านฮาฟิส อิบนุรอญับได้กล่าวในหนังสือ لطائف المعارف ไว้ว่า
"บรรดานักวิชาการของประเทศชาม มีความเห็นที่แตกต่างกันถึงลักษณะของการฟื้นฟูคืนนิสฟูชะอ์บาน ออกเป็นสองทัศนะด้วยกัน
ทัศนะแรก: ถือว่าเป็นสุนัตในการรวมตัวกันเพื่อทำอาม้าลในมัสยิด
และมีรายงานว่า خالد بن معدان และท่าน لقمان بن عامر และท่านอื่นๆ พวกเขาจะสวมใส่อาภรณ์ที่งดงาม ชโลมน้ำหอม ทาตา และรวมตัวกันที่มัสยิดในคืนดังกล่าว(เพื่อทำอิบาดะห์) และท่าน إسحاق بن راهويه ก็มีความเห็นที่สอดคล้องกับพวกเขาในเรื่องดังกล่าว และท่านอิสฮากได้กล่าวถึงการทำอิบาดะห์ในคืนดังกล่าวว่า มิใช่เป็นบิดอะห์แต่ประการใด
ทัศนะที่สอง: มักโรห์ที่จะรวมตัวกันที่มัสยิดเพื่อทำการละหมาด รวมตัวเล่าถึงประวัติต่างๆ รวมถึงรวมตัวกันเพื่อขอดุอาอฺ
แต่ไม่มักโรห์ที่จะทำการละหมาดแบบส่วนตัวในมัสยิด และนี่คือทัศนะของอีหม่ามเอาซาอีย์ ซึ่งเป็นอีหม่ามของเมืองชามและเป็นนักวิชาการแนวหน้าของพวกเขา
บทสรุปของเรื่องราวดังกล่าว
การฟื้นฟูค่ำคืนนิสฟูชะอ์บาน ในรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ และไม่เป็นเรื่องบิดอะห์ รวมถึงไม่เป็นสิ่งมักโรห์ด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องไม่ทำอาม้าลในรูปแบบที่ถือว่ามันเป็นสิ่งที่วายิบ(จำเป็น)ต้องกระทำ
หากทำอาม้าลในรูปแบบที่ถือว่า เป็นวายิบที่ผู้อื่นต้องกระทำ และถือว่ามีบาปหากใครไม่กระทำ ก็ถือว่าเป็นเรื่องบิดอะห์ เพราะไปทำให้เรื่องหนึ่งเป็นเรื่องวายิบทั้ง ๆ ที่อัลเลาะห์และรอซู้ลของพระองค์ไม่ได้กำหนดให้เป็นวายิบ
และด้วยประเด็นนี้แหละที่ ชาวสลัฟรังเกียจที่จะฟื้นฟูคืนนิสฟูชะอ์บาน ในรูปแบบที่ทำร่วมกัน ดังนั้น หากไม่ได้กำหนดให้เป็นวายิบ ก็ถือว่าไม่มักโรห์ใด ๆ (ที่จะทำอาม้าลในค่ำคืนนี้)
والله سبحانه وتعالي اعلم
ปล.สำหรับใครที่ไม่เห็นด้วยกับการทำอ้าม้าลในคืนดั่งกล่าว ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใดๆ แต่จะเป็นเรื่องแปลกทันที่ ถ้ากล่าวหาคนที่ทำอ้าม้าลในค่ำคืนนี้ว่าเป็นคนทำบิดอะห์ สุดท้าย โปรดตั้งใจอ่าน และเปิดใจให้กว้าง อินชาอัลเลาะห์เราจะได้รับผลบุญทุกคน อามีน
ที่มา : www.dar-alifta.org