การช่วยเหลือของอัลลอฮ์ แก่บรรดามุสลิมเหนือศัตรูของพวกเขาที่ทำการระราน
การช่วยเหลือของอัลลอฮฺจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? และอะไรคือสาเหตุที่จะทำให้ได้รับการช่วยเหลือ ?
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺ
ประการแรก
การช่วยเหลือของอัลลอฮ์ แก่บรรดามุสลิมเหนือศัตรูของพวกเขาที่ทำการระราน เป็นสัญญาที่จริงและเป็นคำพูดที่จริง โดยที่อัลลอฮ์ ได้ทรงสัญญาที่จะช่วยเหลือบรรดาผู้ศรัทธา และพระองค์บอกพวกเขาว่าการช่วยเหลือของพระองค์นั้นใกล้มาแล้ว และการที่พระองค์ได้ให้การช่วยเหลือล่าช้านั้นก็ด้วยกับเหตุผลที่เหมาะสม และใครที่การศรัทธาของเขาเข้มแข็ง และมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง เขาจะได้รู้ว่าการช่วยเหลือมันใกล้เข้ามาแล้ว เหมือนที่พระเจ้าของเขาได้บอกไว้
อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ความว่า
“หรือพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ โดยเยี่ยงอย่างของผู้ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้า ยังมิได้มายังพวกเจ้าเลย
ซึ่งบรรดาความลำบากและความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาได้รับความหวั่นไหว
จนกระทั่งร่อซูลและบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ ?
พึงรู้เภิดว่าแท้จริง การช่วยเหลือของอัลลอฮ์ใกล้อยู่แล้ว”
ท่านอิหม่าม อิบนู ญะรีรอัตตอบรีย์ รอฮิมาอุลลอฮฺได้กล่าวไว้ว่า สำหรับความหมายคำ
“พวกเจ้าไม่คิดว่า แท้จริงพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ ว่าพวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ โดยที่ความทุกข์ยากที่ประสบกับคนรุ่นก่อนหน้าพวกเจ้าจากบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามบรรดานบี ยังไม่มาประสบแก่พวกเจ้า และบรรดารอซูลนั้นพวกเขาต้องประสบกับความทุกข์ยาก ความยากจนข้นแค้น จนกระทั่งทำให้พวกเขาเกิดความหวั่นไหว”
หมายถึง สิ่งที่มาประสบกับพวกเขาที่มาจากบรรดาศัตรูของพวกเขา จากความกลัว ความอดยาก และความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ ที่เกิดขึ้นล่าช้า จนกระทั่งพวกเขากล่าวขึ้นมาว่า เมื่อไหร่ที่การช่วยเหลือของอัลลอฮฺจะเกิดขึ้น หลังจากนั้นอัลลอฮฺ ได้กล่าวว่า ความช่วยเหลือของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว และอัลลอฮ์ จะให้พวกเขาเหนือกว่าศัตรูของพวกเขา และจะให้ชัยชนะแก่พวกเขา และอัลลอฮฺ ได้ให้สัญญานั้นเป็นไปตามสัญญา และให้คำพูดของพวกเขาอยู่เหนือศัตรู และอัลลอฮฺ ได้ดับไฟสงครามของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
(ตัฟซีร อัตตอบรีย์ 4/288)
“สิ่งที่ได้มาประสบแก่บรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเจ้า” ท่านเชคอุซัยมีน รอฮิมาอุลลอฮฺ ได้กล่าวถึงประโยชน์บางอย่างจากอายะห์นี้
1. ไม่สมควรที่เราอย่าได้ขอความช่วยเหลือจากใคร เว้นแต่จากผู้ที่มีความสามารถในเรื่องนั้นๆ ก็คืออัลลอฮ์ ผู้ทรงเกียรติผู้ทรงสูงส่ง เนื่องด้วยคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์”
2. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่อบรรดารอซูล แนวทางของพวกเขาเหมือนแนวของบรรดารอซูล พวกเขากล่าว เหมือนที่บรรดารอซูลกล่าวไว้ เนื่องด้วยคำดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า “จนกระทั่งร่อซูลและบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ ” เป็นคำพูดที่เหมือนกันคือรีบร้อนที่จะให้ได้รับความช่วยเหลือ
3. ความสามารถของอัลลอฮฺ มีความสมบูรณ์ เนื่องด้วยคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า ” พึงรู้เถิดว่าแท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ใกล้อยู่แล้ว”
4. เป็นเหตุผลของอัลลอฮฺ ที่เหมาะสม ในการที่อัลลอฮฺ ไม่ให้การช่วยเหลือในเวลาหนึ่งที่เจาะจงจากช่วงเวลา ทั้งที่การช่วยเหลือมันใกล้มาแล้ว
5. แท้จริงการอดทนต่อการทดสอบ เพื่ออัลลอฮฺผู้ทรงเกียรติผู้ทรงสูงส่ง จะเป็นสาเหตุให้ได้เข้าสวรรค์ เพราะแท้จริงความหมายของอายะห์ “พวกเจ้าจงอดทน แล้วพวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์”
6. เป็นการบอกข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา ถึงความช่วยเหลือ เพื่อให้พวกเขามั่นคงที่จะเดินในเรื่องการต่อสู้(ในหนทางของอัลลอฮฺ ) และเอาใจใส่ในเรื่องที่จะให้ได้รับความช่วยเหลือที่ถูกบอกข่าวดีนั้น
ประการที่สอง
การช่วยเหลือของอัลลอฮฺ ใกล้มาแล้ว มันไม่ได้เกิดขึ้นแก่ผู้ที่อ้างว่าศรัทธาและอ้างอิสลาม แท้จริงการช่วยเหลือจะเกิดขึ้นกับผู้ที่จิตใจของพวกเขามีความศรัทธา และอวัยวะของเขาได้ปฏิตามหลักการอิสลาม อัลลอฮ์ ตรัสไว้ความว่า
“อัลลอฮ์ทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลายว่าแน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเขาเป็นตัวแทนสืบช่วงในแผ่นดิน เสมือนดังที่พระองค์ทรงให้บรรดาชนก่อนพวกเขา เป็นตัวแทนสืบช่วงมาก่อนแล้ว และพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน เป็นที่มั่นคง เป็นเกียรติแก่พวกเขา และแน่นอนพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาได้รับความปลอดภัย หลังจากความกลัวของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะต้องเคารพภักดีข้าไม่ตั้งภาคีอื่นใดต่อข้า และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาหลังจากนั้นชนเหล่านั้นพวกเขาคือผู้ฝ่าฝืน”
“และพวกเจ้าจงดำรงละหมาด และจงบริจาคซะกาต
และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลร่อซูล เพื่อพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา”
(ซูเราะฮฺ อันนูรฺ อายะห์ 55-56)
ท่านอัลฮาฟิส อิบนู กะซีร รอฮิมาฮุลลอฮฺได้กล่าวไว้ว่า
นี่คือสัญญาจากอัลลอฮ์ แก่รอซูล แท้จริงอัลลอฮฺ จะให้มีบรรดาตัวแทนบนโลกนี้จากประชาชาติของท่าน หมายถึงเป็นผู้นำของมวลมนุษยชาติ เป็นผู้ปกครองพวกเขา และมาปรับปรุงประเทศของพวกเขา และมีความนอบน้อมแก่ปวงบ่าว และจะเปลี่ยนความหวาดกลัวโดยให้ความสงบมาแทนที่ โดยที่อัลลอฮ์ ได้ให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้น ขอสรรเสริญต่อพระองค์ โดยที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ ยังไม่เสียชีวิต อัลลอฮฺ ได้ให้มีการพิชิตมักกะฮฺเกิดขึ้น เมืองคัยบัร และบะห์เรน และคาบสมุทรอาหรับอื่นๆ และทั้งหมดของแผ่นดินยะมัน และได้เอาฮิสยะห์(สิ่งที่เก็บจากบุคคลที่ไม่ใช่มุสลิมที่อาศัยในรัฐอิสลาม) พวกมายูซีย์(พวกบูชาไฟ)จากเมืองฮะยัร และบางส่วนของเมืองชาม และยังส่งผู้เชิญชวน อีรก็อลกษัตยร์ของโรม และกษัตรย์ของอียิปต์ คือ มูเกากิส ของอิสกันดาเรีย และกษัตยร์โอมาน กษัตริย์นาญาชีย์ ผู้ปกครองเมืองหาบาชะ และหลังจากท่านรอซูลุลลอฮฺ เสียชีวิต อัลลอฮฺ ได้เลือกบุคคลที่มาทำหน้าที่แทนท่านรอซูล ด้วยกับเกียรติของท่าน อัลลอฮฺ ได้ให้ท่านอบูบักรฺซึงเป็นคอลีฟะห์ท่านได้ทำหน้าที่สอนต่อในงานนั้น
(ตัฟซีร อิบนู กะซีร 6/77)
ท่านเชค อับดุรเราะหมาน อัซซะดีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ
นี่คือส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาที่เป็นจริง ซึงได้เห็นการบอกถึงสัญญานั้น เพราะอัลลอฮฺได้สัญญาแก่บุคคลที่ดำรงไว้ซึงความศรัทธาและประกอบการงานที่ดีจากประชาชาตินี้ โดยที่อัลลอฮฺจะให้พวกเขาเป็นตัวแทนในโลกนี้ พวกเขาคือบรรดาตัวแทนในโลกนี้ เป็นผู้ดำเนินการจัดการบริหาร โดยที่พระองค์ได้ให้ศาสนาของพวกเขามีความเข้มแข็ง ซึงเป็นศาสนาที่อัลลอฮ์ พอใจ คือศาสนาอิสลาม ซึ่งอยู่เหนือศาสนาทั้งหมด ที่อัลลอฮ์ พอใจให้อิสลามเป็นศาสนาแก่ประชาชาตินี้ ด้วยเกียรติของอิสลามและความประเสริฐ และความโปรดปรานของอัลลอฮ์ ที่มีต่อประชาตินี้ โดยที่พวกเขามีอำนาจที่จะดำรงไว้ซึงบทบัญญัติอิสลามทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย ให้เกิดกับตัวของพวกเขาและบุคคลอื่นๆ และบุคคลอื่นๆที่อยู่ในศาสนาต่างๆนั้น และบรรดาผู้ที่ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ จะพ่ายแพ้(ยอมรับต่ออิสลาม)
อัลลอฮ์ จะเปลี่ยนควาหวาดกลัวของพวกเขา ซึงมีบางคนไม่สามารถจะแสดงออกซึ่งศาสนาของเขาได้ เนื่องจากอันตรายที่จะได้รับอย่างมากมายจากกระทำของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เนื่องจากกลุ่มมุสลิมมีจำนวนน้อยมากหากเทียบกับจำนวนของบรรดาผู้ปฏิเสธ โดยที่พวกเขาถูกรุมทำร้ายจากคนทั้งหมด แล้วอัลลอฮ์ ได้สัญญาในเรื่องต่างๆ ในขณะที่อายะห์นี้ได้ถูกประทานลงมา โดยการที่อัลลอฮฺ ได้ให้เป็นตัวแทนและอำนาจในการปกครองบนหน้าแผ่นดินยังไม่เกิดขึ้น และการมีอำนาจนั้นเนื่องจากการได้ก่อตั้งรัฐอิสลาม และความปลอดภัยโดยสมบูรณ์ โดยที่พวกเขาทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ และพวกเขาไม่ได้เอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาหุ้นส่วนกับอัลลอฮ์ (ในการเคารพภักดีของพวกเขา)
พวกเขาจะไม่เกรงกลัวผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ โดยคนรุ่นแรกๆของประชาชาตินี้ได้ดำรงไว้ซึงการศรัทธา และประกอบการงานที่ดี จึงเป็นสาเหตุให้พวกเขาล้ำหน้ากว่าคนอื่นๆ และอัลลอฮ์ ได้ให้พวกเขามีอำนาจในประเทศและมีอำนาจกับประชาชน โดยที่ขยายเขตการปกครองทั้งตะวันออกและตะวันตก และได้รับความปลอดภัยและอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือส่วนหนึ่งของสัญญาณต่างๆของอัลลอฮฺ ที่น่าอัศจรรย์ และสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันกิยามะห์ ตราบใดที่พวกเขา(ผู้ศรัทธา)ดำรงไว้ซึงการศรัทธาและการประกอบการงานที่ดี
(จากตัฟซีร อัซซะดีย์ หน้าที่ 573 และให้ไปดูเพิ่มเติม ตัฟซีร อัฎวาอุลบายาน ของเชคอัชชันกีตีย์ 6/36
ฟัตฟุลกอดีร ของอัชเชากานีย์ 4/69)
ประการที่สาม
การที่ผู้คนมีความจริงจังในการศรัทธา และดำรงไว้ซึงบทบัญญัติของอัลลอฮ์ จะเป็นสิ่งที่มายืนยันสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยที่อัลลอฮ์ จะให้อำนาจแก่พวกเขา และพวกเขาคือกลุ่มคนที่ อัลลอฮ์ สัญญาว่าจะได้รับการช่วยเหลือและได้รับอำนาจการปกครอง
อัลลอฮฺ ตรัสความว่า
” บรรดาผู้ที่เราให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดินคือบรรดาผู้ที่ดำรงการละหมาด และบริจาคซะกาต
และใช้กันให้กระทำความดี และห้ามปรามกันให้ละเว้นความชั่ว
และบั้นปลายอของกิจการทั้งหลายย่อมกลับไปหาอัลลอฮ์”
(ซูเราะฮฺ อัลฮัจยฺ (Al-Hajj) อายะห์ที่ 41)
ท่านเชค มูฮัมหมัด อัลอะมีน อัชชันกีตีย์ รอฮิมาอุลลอฮฺ หลังจากทีท่านได้นำอายะห์ต่างๆที่ได้กล่าวถึงการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ และในคำดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า
“บรรดาผู้ที่เราให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดิน”
นี่คือหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า สัญญาของอัลลอฮ์ จะไม่เกิดขึ้นเว้นแต่จะต้องคู่กับการดำรงไว้ซึงการละหมาด และการจ่ายซากาต การใช้กันในเรื่องของความดีและห้ามปรามซึงความชั่ว และบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ ได้ให้อำนาจพวกเขาบนหน้าแผ่นดิน และอัลลอฮ์ จะทำให้พวกเขาสามารถแสดงออกซึ่งคำพูดและมีอำนาจ ในขณะเดียวกันถ้าพวกเขาไม่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และการจ่ายซากาต และพวกเขาไม่ได้ใช้กันในสิ่งที่เป็นความดีและห้ามปรามกันในสิ่งที่เป็นความชั่ว สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีสัญญาใดที่รับรองว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ โดยที่พวกเขาไม่ได้เป็นพรรคของอัลลอฮ์ และไม่ได้เป็นบรรดาบุคคลที่อัลลอฮ์ รัก และให้ความช่วยเหลือ แต่ว่าพวกเขาคือพลพรรคของชัยตอน และเป็นผู้ที่รักของมัน หากพวกเขาได้ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ โดยยึดถือว่าอัลลอฮ์ ได้สัญญาที่จะให้ความช่วยเหลือ พวกเขาเปรียบเสมือนกับคนทำงานที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการทำงาน หลังจากนั้นจะมาขอค่าตอบแทน ซึ่งมันไม่ได้เป็นความฉลาดสำหรับเขาเลย
คำดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ความว่า
“(อัลลอฮ์)นั้นเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจเหนือ”
(ซูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ อายะห์ที่ 21)
อัลอาซีส คือผู้ที่มีชัยชนะไม่มีใครสามารถชนะได้ เหมือนที่นำเสนอบ่อยครั้ง ที่ชาวอาหรับสามารถยืนยันได้ และอายะห์ยังเป็นหลักฐานชี้ถึงความถูกต้องของการดำรงตำแหน่งของบรรดาคอลีฟะห์อัรรอชีดีน(คอลีฟะห์ทั้งสี่) เนื่องจากอัลลอฮฺ ได้ช่วยเหลือเขาให้มีชัยชนะเหนือศัตรู ด้วยกับสาเหตุที่พวกเขาได้ช่วยเหลืออัลลอฮฺ และดำรงไว้ซึงการละหมาด และได้จ่ายซากาต ได้ใช้ในเรื่องที่เป็นความดีและห้ามปรามในสิ่งที่เป็นความชั่ว และอัลลอฮ์ ได้ให้อำนาจการปกครอง และให้พวกเขาเป็นตัวแทนบนหน้าแผ่นดิน เหมือนดังที่พระองค์ตรัสความว่า
“อัลลอฮ์ ทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลายว่า
แน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเขาเป็นตัวแทนสืบช่วงในแผ่นดิน”
ในอายะห์นี้ความหมายครอบคลุมแก่เหล่าศอหาบะห์ และบุคคลที่ได้กระทำเยี่ยงเดียวกับพวกเขาด้วยความสมบูรณ์แบบ และความรู้ ณ ที่อัลลอฮ์
(ตัฟซีร อัฎวาอุลบายาน 5/272)
ประการที่สี่
เพิ่มเติมจากที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นพึงทราบไว้เถิดว่า แท้จริงการช่วยเหลือนั้นมีหลายๆสาเหตุด้วยกัน และใครที่ต้องการที่จะให้ได้รับความช่วยเหลือ โดยที่ไม่ได้ดำเนินการด้วยกับสาเหตุต่าง ๆ ที่จะให้ได้รับความช่วยเหลือ ถือว่าการกระทำของเขานั้นขัดแย้งกับบทบัญญัติและสติปัญญา
แปลโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
ที่มาของเนื้อหา:islammore.com