ลักษณะเด่นของท่านนบีมูฮัมหมัด


21,140 ผู้ชม

ลักษณะเด่นของท่านนบีมูฮัมหมัด ลักษณะเด่นของการปฏิบัติของท่านศาสดามุฮัมหมัด คืออะไร


ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) เกิดในเวลาเช้าตรู่ของวันจันทร์ ที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ปีช้างตรงกับวันที่ 23 เมษายน ค.ศ.571 ณ นครมักกะห์ ท่านเป็นคนชาวอาหรับเผ่ากุร็อยซฺ บิดาของท่านชื่อว่าอับดุลลอฮ บุตรอับดุลมุฏเฏาะลิบ บุตรฮาซิม บุตรอับดุลมะนาฟ บุตรซะห์เราะห์ บุตรกิลาบ มารดาของท่านชื่อว่าอามีนะฮฺ บุตรวฮับ บุตรอับดุลมะนาฟ บุตรซะห์เราะฮฺ บุตรกิลาบ ต้นตระกูลฝ่ายมารดาของท่าน ไปร่วมกับตระกูลฝ่ายบิดาที่กิลาบ ซึ่งสายคนที่ห้าฝ่ายบิดาและเป็นทวดที่สี่ฝ่ายมารดา และต้นตระกูลของท่านศาสดามุหัมมัดที่สูงขึ้นไปนั้นร่วมสายจากท่านนบีอิสมาอีล บุตรของนบีอิบรอฮีม (อะลัยฮิสสะลาม)

ปีที่ประสูติท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “ ปีช้าง ” ทั้งนี้เพราะว่าในปีนั้น แม่ทัพแห่งเอธิโอเปียซึ่งเป็นข้าหลวงปกครองเมืองเยเมน มีชื่อว่า " อับรอฮะหฺ " ได้กรีฑาทัพช้างมุ่งสู่นครมักกะฮฺหวังที่จะทำลายวิหารกะบะฮฺ กองกำลังของนครมักกะฮฺไม่มีกำลังพอที่จะต้านกองทัพของอับรอฮะหฺอันมหึมานี้ได้ ชาวมักกะฮฺต่างก็ทำได้เพียงแต่เฝ้ามองเหตุการณ์ และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าเท่านั้น พระองค์อัลลอฮฺทรงปกป้องวิหารกะบะฮฺและยับยั้งแผนอันชั่วร้ายของกองทัพอับรอฮะหฺนี้โดยการส่งฝูงนกชนิดหนึ่งเรียกว่า “ อะบาบีล ” นกแต่ละตัวคาบก้อนกรวดชนิดหนึ่งที่มีเชื้อร้ายไปทิ้งที่กองทัพของอับรอฮะหฺ และเชื้อร้ายนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ กองทัพของอับรอฮะหฺ ฺถึงกับราบพนาสูรทั้งคนทั้งช้างและม้า ร่างกายของคนและสัตว์เหมือนกับธัญญาพืชที่ถูกแมลงกัดกิน ดังที่อัลกุรอานได้บันทึกไว้ในซูเราะฮฺอัล - ฟีล พวกทหารของอับรอฮะหฺต่างล่าถอยหนีด้วยความกลัว ที่หนีไม่ทันก็กลายเป็นศพตายระเนระนาด อับรอฮะหฺต้องถอนทัพกลับอย่างระสำระส่าย เขาเองก็ถูกพิษร้ายนั้นด้วยและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา หลังจากเหตุการณ์อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นไม่กี่เดือน มักกะฮฺก็ได้รับเกียรติต้อนรับการประสูติของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ด้วยเหตุนี้จึงเรียกปีที่ประสูติของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ว่า ปีช้าง

ลักษณะเด่นของท่านนบีมูฮัมหมัด

“หากว่าท่านหัน ท่านก็หันไปทั้งตัวไปยังบุคคลที่ท่านพูดด้วย สายตาของท่านมักจะมองต่ำอยู่เสมอ สายตาของท่านมักจะมองไปที่พื้นดินอยู่เรื่อย”

ท่านจะทอดสายตาลงสู่พื้นดินมากกว่าจะมองดูท้องฟ้า ท่านจะเดินข้างหลังบรรดาสาวกของท่านและจะเป็นคนแรกที่ทักทายใครก็ตามที่ท่านมีโอกาสได้พบ ท่านจะสังเกตดูสิ่งต่างๆ ตามทางที่ท่านผ่านไป ลักษณะท่าทางโดยทั่วไปจะครุ่นคิดและเศร้าโศกอยู่เสมอ ท่านได้ถูกห่อหุ้มอยู่ในความคิดและการใคร่ครวญของท่านอยู่ตลอดเวลา รสูลุลลอฮฺเป็นผู้ที่เงียบขรึมไว้ตัวอย่างผิดธรรมดา กระนั้นท่านก็ขยันหมั่นเพียร จะไม่เคยพบว่าท่านอยู่ว่าง แม้แต่ที่บ้านของท่าน ท่านจะเข้าร่วมทำมิหฺนะฮฺ(ช่วยงานบ้าน)ของภรรยาของท่าน ทำให้พวกนางหัวเราะด้วยความสุข มีอยู่บ่อยครั้งที่ท่านทำงานเล็กๆน้อยๆของท่านเอง เช่น ซักเสื้อผ้าและ ปะชุนเสื้อและซ่อมรองเท้าของท่าน ฯลฯ           

ท่านจะนิ่งเงียบเป็นพักๆและโดยทั่วไปท่านชอบที่จะเป็นผู้รับฟังมากกว่าจะเป็นผู้นำการสนทนา ท่านจะไม่พูดหากไม่มีความจำเป็นหรือไม่มีจุดมุ่งหมาย เมื่อท่านพูดท่านก็จะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ ประโยคของท่านจะสั้นและเต็มไปด้วยความหมาย ท่านจะใช้ ญาวามีอุลกะลิม (ประโยคการแสดงออกที่มีน้ำหนัก ไม่สั้นหรือยาวเกินไปแต่พอดี มารยาทของท่านดีทั้งไม่ไร้ความเป็นมิตรและไม่แข็งกระด้าง ไม่โอนอ่อนผ่อนตามหรือขาดความสำคัญ ความโกรธของท่านไม่เคยมาจากแรงจูงใจส่วนตัว ท่านจะให้อภัยอย่างไม่มีข้อจำกัดและไม่สนใจการสบประมาทส่วนตัว อย่างไรก็ตามท่านจะแสดงความโกรธอย่างยิ่งให้เห็นถ้าหากว่าเรื่องของหลักการได้รับการเย้ยหยันหรือถูกละเมิด เมื่อท่านมีจิตใจไม่สงบท่านก็จะไม่มีความพอใจจนกว่าเรื่องนั้นจะถูกแก้ไขให้ดีขึ้นหรือได้รับการชำระโทษเสียก่อน

แต่ในเรื่องเกียรติยศส่วนตัวและการสบประมาทเล็กๆน้อยๆจะไม่ทำให้ท่านโกรธ และเรื่องเหล่านั้นก็จะไม่ทำให้ท่านต้องแก้แค้นเอากับผู้ที่ทำให้ท่านขุ่นเคือง ท่านจะทนกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเมตตาและอดทน ชาวเบดุอินมักจะกล่าวกับท่านอย่างห้าวๆใช้ภาษาที่หยาบคายและไม่เหมาะสม บางครั้งพวกเขาถึงกับดึงเคราของท่านศาสนฑูตขณะที่พวกเขาพูดไป แต่ท่านศาสนทูตจะทนกับเรื่องเหล่านี้ด้วยรอยยิ้มที่มีความกรุณา

เมื่อเข้าร่วมในการสนทนา ท่านมักจะใช้ฝ่ามือทั้งฝ่ามือชี้ไปที่สิ่งนั้นด้วยความประหลาดใจและสนุกสนาน หากว่าท่านโกรธท่านก็จะมองไปอีกด้านหนึ่ง หากท่านพอใจท่านก็จะมองลงต่ำ ส่วนใหญ่การหัวเราะของท่านมิได้เป็นอะไรมากกว่าร้อยยิ้ม แต่บางโอกาสท่านจะหัวเราะ จนเห็นฟันของท่าน ดังนั้นเมื่อท่านหัวเราะจะเห็นแสงเปล่งออกมาเป็นประกายระหว่างฟันของท่าน

เมื่ออยู่บ้านท่านจะแบ่งเวลาของท่านออกเป็นสามส่วน  ส่วนหนึ่งสำหรับภริยาของท่าน ส่วนหนึ่งสำหรับพระผู้เป็นเจ้า และอีกส่วนสำหรับตัวท่านเอง  แต่เวลาของท่านนั้นท่านได้ใช้ร่วมกับบรรดาสาวกของท่าน ต้อนรับพวกเขา ดูแลพวกเขา และถามไถ่เกี่ยวกับกิจการของพวกเขา  เมื่อบรรดาสาวกของท่านมาหา ท่านก็จะต้อนรับด้วยความเมตตา รอคอยพวกเขาด้วยตัวท่านเอง  ให้บริการและให้เกียรติพวกเขา  ท่านจะสอบถามถึงความต้องการต่างๆของพวกเขา และความพยายามอย่างที่สุดของท่าน เพื่อจะดูว่าความต้องการเหล่านั้นได้รับการตอบสนองหรือยัง บ่อยครั้งที่ท่านได้ชี้แนะให้บรรดาสาวกทำหรือไม่ให้ทำอะไรซึ่งจะเป็นผลดีต่อพวกเขาด้วยการให้ความผ่อนคลายแก่ดวงใจและความยากลำบากของพวกเขา ท่านยังได้ให้บรรดาสาวกบอกท่านถึงความต้องการของบรรดาผู้ที่ไม่สามารถมาบอกด้วยตัวเอง ด้วยการกล่าวว่า

“ใครก็ตามที่บอกกับผู้ปกครองถึงความต้องการของผู้ที่ไม่สามารถบอกกล่าวได้ พระผู้เป็นเจ้าก็จะสร้างและให้กำลังแก่เขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ”

ท่านศาสนทูตซึ่งถูกห้อมล้อมโดยสาวก รอบๆตัวท่านนั้นเปรียบได้กับจันทร์เต็มเดือนอันสุกใส และกลุ่มของดวงดาวที่เปล่งแสงอยู่รอบๆในขณะที่รัศมีออกมาสุกใสยิ่งขึ้นพวกเขาก็เลยมีรัศมีไปด้วย แบบอย่างการเป็นผู้นำของท่านมิใช่แบบอย่างของขุนนางผู้ใช้อำนาจ ผู้หมกมุ่นอยู่กับการสร้างภาพของตัวเองและหยิบฉวยความเข้มแข็งให้ตัวเอง ท่านมิได้มีรูปแบบของศาสตราจารย์ขี้อิจฉาซึ่งจะระคายเคืองทันทีหากว่านักศึกษาของตัวเองโดดเด่นขึ้นมา นอกจากจะไม่พยายามทำให้สาวกมัวหมองและลดคุณความดีของพวกเขาลงแล้ว ท่านศาสนทูตยังได้ยกระดับและพัฒนาพวกเขาอยู่ตลอดเวลาและนำพวกเขาไปสู่การยอมรับว่าสิ่งใดดีที่สุดและสูงส่งที่สุดสำหรับพวกเขา

(ขอให้อัลลอฮฺทรงอำนวยพรมากขึ้นและมากขึ้นแก่พวกเขาด้วยเทอญ)

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรนักที่ไม่มีศานทูตหรือผู้ถือสาส์นของอัลลอฮฺท่านใดและกษัตริย์หรือเจ้าชายคนใด จะได้รับความรักความมีเกียรติหรือการเชื่อฟังจากสาวกและสานุศิษย์เท่ากับศานทูตมุฮัมมัด

แม้ว่าโดยทั่วไปท่านจะเป็นคนที่เก็บตัวและใคร่ครวญ แต่ศาสนทูตมุฮัมมัดก็มิได้เป็นผู้ที่ครุ่นคิดแต่เรื่องของตัวเอง ในทางตรงกันข้ามท่านเป็นสิ่งมีชีวิตในสังคมที่มีเสน่ห์ที่แปลกออกไป ผู้ร่วมงานของท่านเป็นคนอ่อนหวานและผู้ที่มาหาท่านมักจะอยู่ในบ้านของท่านเกินเวลา ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าเป็นเพราะความสงบ และความสำราญที่เขาได้รับเมื่ออยู่ในกลุ่มเดียวกับท่าน

นิสัยการอยู่เกินเวลาในบ้านของท่านศาสนทูต แม้ว่าจะมีห้องอยู่อย่างจำกัดในอาคารส่วนตัวของท่าน ได้กลายเป็นสิ่งที่แพร่หลาย และท่านศาสนทูตก็อายที่จะบอกเรื่องนี้ ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงได้ประทานโองการของกุรอานลงมาเพื่อดึงดูดความสนใจของบรรดาสาวกในเรื่องความไม่สะดวกและความยากลำบาก
เนื่องมาจากการอยู่เกินเวลาที่เกิดแก่เจ้าของบ้านที่มีความเมตตาอย่างมาก

สังคมอารเบียก่อนอิสลามโดยทั่วไป โดยเฉพาะสังคมรอบนครยัษริบเป็นสังคมที่ไม่รู้จักความเมตตา สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากการประท้วงอันน่าประหลาดใจของชาวเบดุอิน อย่างไรก็ตามนครยัษริบในเวลาที่ท่านศาสนทูตมาถึงนั้น เพิ่งจะพ้นจากสงครามอันป่าเถื่อนและยืดเยื้อ อารมณ์ที่ไม่รุนแรงของท่านศาสนทูต ความเมตตาที่แตกต่างออกไป ความรักความห่วงใยและความกรุณาซึ่งท่านแสดงให้พลเมืองและสานุศิษย์ของท่านเห็นนั้น ช่างตรงกันข้ามกับประสบการณ์ใดๆ ที่นครยัษริบเคยมีประสบการณ์มาก่อน วิธีการที่ท่านใช้ต้อนรับและดูแลพวกเขาในการเข้าพบท่านเป็นการส่วนตัวนั้นทำให้พวกเขาแต่ละคนรู้สึกว่าไม่มีใครอีกแล้ว ซึ่งจะเป็นที่รักหรือได้รับเกียรติจากท่านศาสนทูตมากกว่าตัวเขา นั่นเป็นความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันที่พวกเขาได้รับการเลี้ยงดู ซึ่งพวกเขาได้รับการเลี้ยงดู ซึ่งพวกเขาจะค่อยๆ คุ้นเคยที่จะมองท่านว่าเป็นดั่งบิดาผู้เป็นที่รักของพวกเขาเอง เป็นบิดาในอุดมคติและเป็นที่รักยิ่ง

ดังนั้นชาวมุสลิมจึงขึ้นอยู่กับท่านศาสนทูตในการได้รับการสนับสนุนทางด้านวัตถุและจิตใจของพวกเขา และภายใต้การปกป้องและทางนำของท่านพวกเขารู้สึกมีความสุขและสงบ สำหรับผู้ยากจนสี่สิบ หรือ หกสิบคนของมุฮาญิรูนแห่งอะหลุสสัฟฟาห์ นั้นท่านศาสนทูตค่อนข้างจะเป็นผู้สนับสนุนและเป็นผุ้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว ท่านได้จัดอาหารและให้ที่อยู่อาศัยไม่ว่าท่านจะมีอยู่เพียงเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ความสัมพันธ์อันไม่เหมือนใครระหว่างท่านศาสนทูตและชาวมุสลิมได้รับการบันทึกไว้ในโองการของกุรอาน

ซึ่งได้ยกมาอ้างแล้วตั้งแต่ต้นว่าท่านศาสนทูตนั้นมีความใกล้ชิดต่อผู้ศรัทธามากกว่าตัวเองและภริยาของท่านก็กลายเป็นมารดาของพวกเขา ความจริงแล้วได้เป็นบิดาของเด็กๆในนครมาดีนะฮฺที่ไร้บิดา และได้กลายเป็นเด็กกำพร้าอันเนื่องมาจากสงครามบุอาษ ด้วยเหตุผลใดก็ตามท่านศาสนทูตคือบิดาของผู้ได้รับความทุกข์จากการขาดผู้ปกครองหรือขาดความรักจากบิดาจนถึงที่สุด ความอดทนของศาสนทูตในการตอบสนองความต้องการของสาวกของท่านนั้นมีเหลือคณานับ ท่านจะนั่งฟังพวกเขาเป็นชั่วโมงๆ โดยไม่เคยแสดงสัญญานใดๆของความไม่อดทนหรือความไม่สะดวกสบายให้เห็นแม้แต่น้อย เมื่อยื่นมือของท่านออกออกไปทักทายใคร ท่านจะไม่เป็นผู้ปล่อยมือก่อนและท่านก็จะไม่เป็นคนแรกที่จะหยุดการสนทนาหรือหยุดการประชุมนอกเสียจากว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เร่งด่วนเกิดขึ้น บ่อยครั้งเมื่อท่านว่างจากเรื่องบางอย่างที่รุนแรงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ของเพื่อนบ้านก็จะวิ่งรี่เข้ามาในบ้านของท่านจับมือท่านและเรียกร้องต่อท่านว่าเราไปเล่นข้างนอกกันเถอะ ท่านศาสนทูตก็จะยอมเชื่อฟังแล้วเธอก็จะหมุนท่านไปรอบๆ เหมือนกับเล่นม้าหมุน

ความใจกว้างของท่านที่มีต่อสาวกและพลเมืองแห่งนครมาดีนะฮฺนั้นไม่เคยมีขอบเขต ไม่เคยมีครั้งใดที่ท่านขอบางสิ่งบางอย่าง หรือขอการสนับสนุนบางประการแล้วท่านจะไม่ได้รับ แน่ละนอกเสียจากเรื่องที่อยู่เกินจุดมุ่งหมายของท่าน แม้กระนั้นก็ตาม ท่านก็จะวิงวอนขออย่างกระตือรือร้นและร้องขอให้แก่บรรดาสาวกของท่าน และบ่อยครั้งที่การวิงวอนของท่านได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว ในบางโอกาสท่านจะสอนพวกเขาถึงการนมาซและการวิงวอนขอที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว สอนถึงความสูงส่งของพระผู้เป็นเจ้าและการขออภัยโทษจากพระองค์ พวกเขาก็จะทำตามแล้วความทุกข์ยากของพวกเขาได้รับการปลดเปลื้อง

วันหนึ่งท่านศาสนทูตได้สวมเสื้อคลุมยาวอันเป็นของขวัญจากต่างประเทศของกษัตริย์บางท่านหรือเจ้าชายบางท่าน
สายตาของชาวมุสลิมเบดุอินได้จับจ้องอยู่ที่เสื้อคลุมยาวของท่านพร้อมกับชมเชยความสวยของมันและอยากได้ ท่านศาสนทูตได้ถอดเสื้อคลุมยาวออกมาแล้วก็วางลงอย่างอ่อนโยนบนไหล่ของชาวเบดุอิน ชาวเบดุอินจึงเต็มตื้นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกขอบคุณ

สำหรับผู้ที่เคยทำอันตรายและต่อต้านท่าน ท่านคือผู้ใจบุญเสมอและให้อภัย กระนั้นก็ตาม ถ้าหากเขายืนยันในความเป็นศัตรูและพยายามหาวิธีสร้างอุปสรรคให้แก่การเรียกร้องของพระผู้เป็นเจ้าต่อมนุษยชาติ

และเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยไม่มีความสงสัยใดๆว่าจะโน้มเอียงไปสู่การทำลายภารกิจของท่านแล้ว ท่านศาสนทูตจะไม่ตื่นกลัวที่จะเข้าไปจัดการกับพวกเขาตามแต่สถานการณ์จะเรียกร้อง หนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ชื่นชอบของท่านก็คือเข้าไปโจมตีพวกเขาก่อนอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว ถ้าเผื่อทำได้ท่านจะไม่ยอมให้ได้รับความเหยียดหยามหรือพ่ายแพ้โดยฝีมือของศัตรูในสนามรบ

หรือท่านจะไม่ยอมให้ผู้ที่วางแผนทรยศหลุดออกไปหรือไม่ได้รับการลงโทษได้ อย่างไรก็ตามหากว่าพวกเขาลดความแข็งกร้าวลงหรือยอมแพ้ ท่านก็จะให้อภัยพวกเขาโดยทันทีทั้งหมด และอย่างไม่มีอะไรค้างคา ด้วยวิธีนี้ศัตรูดั่งเดิมของท่านจึงได้กลายมาเป็นมิตรและเป็นผู้ปกป้องตัวท่านได้ดีที่สุด

รูปแบบการใช้ชีวิตของท่านศาสนทูตนั้นเป็นไปตามความปราถนาและการเลือกของท่านนั่น คือ การมีชีวิตอยู่อย่างไม่ฟุ่มเฟือย ท่านจะยอมรับของขวัญและความเอื้อเฟื้อจากมิตรและสาวกของท่าน กระนั้นก็ตามหากท่านรู้ว่าของขวัญเหล่านั้นมาจากของทำบุญ ท่านจะปฏิเสธอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าท่านจะสงบเสงี่ยมและไม่เสแสร้งแม้แต่น้อยท่านก็มีความคิดสูงส่ง และมีทรรศนะที่สูงเด่นต่อประชาชนและสิ่งต่างๆ เมื่อได้เลือกวิถีทางแห่งความสันโดษ ความต้องการของท่านได้ลดลงไปอย่างแท้จริง และอะไรก็ตามที่ท่านมีความรู้สึกต้องการก็เป็นไปเพื่อความกรุณาและเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าของท่าน ท่านศาสนทูตจึงถูกเรียกว่า อัล-มุตะวักกิล(ผู้ไว้วางใจต่อพระผู้เป็นเจ้า)ในความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าท่านรู้สึกว่า ท่านมีความพอเพียงในตัวเองแล้ว

สำหรับชีวิตที่พราวพรั่งไปด้วยความหรูหราและความสะดวกสบายนั้นท่านไม่มีความปรารถนา มีรายงานว่าท่านพบความสุขอันยิ่งใหญ่ในการละหมาดของท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน

อัพเดทล่าสุด