มุสลิมะห์เราเสริมสวยได้ไหม?


9,047 ผู้ชม

ผู้หญิงเป็นเพศที่ชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จนทำให้มีคนหัวการค้าจัดตั้งสถาบันเสริมสวยขึ้นมากมาย


มุสลิมะห์เราเสริมสวยได้ไหม?

มุสลิมะห์เราเสริมสวยได้ไหม?

ในปัจจุบันการเสริมสวยในรูปแบบต่าง ๆ ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของบรรดาสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้หญิงเป็นเพศที่ชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จนทำให้มีคนหัวการค้าจัดตั้งสถาบันเสริมสวยขึ้นมากมาย เปิดร้านเสริมสวยและผลิตเครื่องสำอางสำหรับเสริมสวย ด้วยกับยี่ห้อต่างๆ ประกอบกับราคาตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทไปจนกระทั่งพันบาทขึ้นไป ซ้ำร้ายราคานั้นอาจจะมากกว่านี้เสียด้วย ผู้ผลิตหรือผู้ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านั้น สามารถที่จะทำกำไรได้ปีละมากมาย

การเสริมสวยตามทัศนะอิสลาม หมายถึง  การเปิดเผยให้เห็นถึงความงามไม่ว่าจะเป็นส่วนของใบหน้าหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ท่านอิหม่ามบุคอรีได้กล่าวว่า “การเสริมสวยคือ การที่หญิงต้องการที่จะเปิดเผยถึงความสวยงามของรูปร่างหน้าตาของตนเอง”

ในประเด็นนี้เพื่อเป็นการก่อให้เกิดความปลอดภัยแก่สังคม และเพื่อเป็นการรักษาเกียรติยศของสตรีเพศทั้งหลาย อัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตาอาลา) ทรงกำชับสตรีที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว (ที่มีประจำเดือนแล้ว) ให้ระมัดระวังในการเสริมสวย เพราะอาจจะเกินขอบเขตที่อิสลามได้กำหนดไว้ได้

เราลองมาพิจารณาบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ความว่า “และมุฮัมหมัด จงกล่าวแก่หญิงผู้ศรัทธาทั้งหลาย ให้พวกนางลดสายตาของพวกนางลงต่ำและปกป้องของพึงสงวนของนาง และจงอย่าโอ้อวดเครื่องประดับของนาง ยกเว้นแต่ที่เปิดเผยได้ และให้นางปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของนางตลอดมาจนถึงหน้าอกของนาง และจงอย่าให้นางอวดเครื่องประดับ เว้นแต่สามีของนาง บิดาของนาง บิดาของสามีของนาง ลูกชายของพี่ชายของนาง พี่ชายน้องชายของนาง ลูกชายของนาง คนใช้ผู้ชายที่ไม่สนใจทางเพศ หรือเด็ก ๆ ผู้ที่ยังไม่รู้เรื่องของพึงสงวนของผู้หญิง และจงอย่าให้นางกระทืบเท้าของนางเพื่อเครื่องประดับที่ซ่อนอยู่นั้นจะเป็นที่รู้กัน และสูเจ้าทั้งมวลจงหันกลับมาขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อสูเจ้าจะได้เจริญ”  (24 : 31)

ท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถิด ในคำที่ว่า ผ้าคลุมที่อัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตาอาลา) ทรงกล่าวนั้นจะต้องปล่อยยาวจนปิดหน้าอกมิใช่เพียง คลุมผมแบบอเมริกันสไตล์หรือปิดเพียงเฉพาะคอเท่านั้น ผู้ใดก็ตามที่เปิดเผยให้เห็นถึงส่วนศรีษะหรือส่วนหน้าอก เขาย่อมเป็นผู้ที่จัดอยู่ในพวกที่ไม่พยายามรักษาเกียรติยศตัวเอง การเพิกเฉยและละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ ในส่วนนี้ย่อมจะต้องได้รับการลงโทษอย่างเจ็บแสบในโลกหน้าอย่างแน่นอน ความเข้าใจในเรื่องการเสริมสวยเฉพาะแต่เพียงการเสริมแต่งเครื่องสำอางบนใบหน้า หรือการสวมใส่ด้วยเสื้อผ้าตามแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้นนับว่าเป็นการตีความที่ค่อนข้างจะคับแคบเกินไป ข้อเท็จจริงแล้วมันยังรวมถึงเครื่องประดับที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย

ทุกวันนี้ มวลหมู่สตรีที่คลุมศรีษะจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ปลดปล่อยจากสภาพเก่าให้หมดสิ้นไป บางคนคลุมศรีษะแต่ใส่เครื่องประดับเต็มตัว บางคนคลุมฮิญาบแล้วยังชอบใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป เน้นส่วนสัดของตนเอง และยังเปิดส่วนอื่น ๆ ให้คนรอบข้างได้เห็นอีก เช่น น่อง เป็นต้น บางคนคลุมฮิญาบแต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเครื่องสำอางหลากชนิด สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่เราเรียกว่า การหลอกลวงตนเองอยู่ เมื่อเราตั้งใจที่จะปฎิบัติตามบทบัญญัตินี้แล้ว ก็น่าที่จะพัฒนาตนเองให้ถึงจุดแห่งความสมบูรณ์ให้ดีที่สุดและโดยเร็ว

สำหรับเครื่องประดับชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สตรีมุสลิมได้นำมาสวมใส่ เพื่อต้องการที่จะโอ้อวดกันก็มิใช่น้อยเลย นอกจากนั้นสาววัยรุ่นบางคนยังเลียนแบบสตรีในยุคญาฮิลียะห์หรือหญิงชาวฮินดูที่ประดับประดากำไลที่ข้อมือ และบางคนถึงขนาดใส่ไว้ที่ข้อเท้าก็มี ทั้ง ๆ ที่อัลกุรอ่านได้บัญญัติว่า “และจงอย่าให้นางกระทืบเท้าของนางเพื่อเครื่องประดับของนางที่ซ่อนไว้อยู่นั้นจะเป็นที่รู้กัน” ในส่วนของเครื่องสำอางนั้นท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ้อลล้อลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัม) ได้กล่าวไว้ว่า “หากหญิงที่ออกจากบ้านพร้อมกับการมีกลิ่นหอมติดตัว นั่นถือว่านางได้กระทำซินาแล้ว”

การใช้เครื่องหอม ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม โคโลญจ์ โลชั่น หรือแป้งที่มีกลิ่นแรง ขณะออกจากบ้านเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสตรีเมื่ออิสลามห้ามการกระทำซินา ดังนั้นการกระทำใด ๆ ก็ตามที่จะเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องทำนองนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ยกเว้นในกรณีที่เป็นแป้งสำหรับใช้ทาตัว ซึ่งกลิ่นของมันก็ไม่รุนแรงมากมายจนเกินไปนัก ก็พอจะอนุโลมใช้ได้

ปัจจุบันศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปมาก วงการเสริมสวยและศัลยกรรมก็ได้พัฒนาเจริญรุดหน้าควบคู่กับการพัฒนาทางด้านดังกล่าว ซึ่งสามารถที่จะทำการเสริมแต่ง ผ่าตัด เปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในประเด็นเหล่านี้อิสลามได้กำหนดทรรศนะไว้ดังนี้

1. การเสริมสวยหรือการทำศัลยกรรมเพื่อที่จะทำให้โฉมหน้า ที่พระองค์อัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตาอาลา) ทรงสร้างแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด เช่น การเสริมดั้งจมูกด้วยกับวัสดุพลาสติก หรือทำตาสองชั้น เป็นการกระทำที่ผิดหลักการศาสนา

2. การเสริมสวยด้วยกับเครื่องสำอางเพียงชั่วคราว (แต่งหน้าหรือทาเล็บ) เป็นแบบชนิดล้างออกง่าย เป็นสิ่งที่อนุโลมได้แต่เครื่องสำอางที่จะใช้ต้องแน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมของสิ่งที่เป็นน่ายิสตามทัศนะอิสลาม แต่โดยมากแล้วมักจะมีส่วนผสมที่เป็นน่ายิสทั้งนั้น

3. การเสริมสวยที่ใส่วัตถุปลอมเพื่อความงดงาม เช่น วิกผม ขนตาปลอม ถือเป็นสิ่งต้องห้ามเช่นเดียวกัน

ถ้าการทำศัลยกรรมเฉพาะส่วนที่พิการ เช่น ปากแหว่ง จมูกโหว่ และอื่น ๆ อิสลามถือว่าการกระทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่อนุโลมให้กระทำได้ แต่การกระทำที่มีเจตนาจะโอ้อวดคนอื่นนั้นถือเป็นสิ่งต้องห้าม การห้ามในข้อที่ 3 นั้น ท่านศาสดากล่าวไว้ว่า “ อัลลอฮ์ จะมอบให้ซึ่งกับความพินาศแก่ช่างดัดผม ช่างเล็บ ช่างสักตามร่างกายและผู้ที่สักตัวเอง ” (รายงานโดย ติรมีซี)

หญิงที่ชอบเสริมสวยถือว่านางเป็นคนที่มีความคิดที่อ่อนนิ่ม ดังที่ศาสดาได้กล่าวว่า

“ผู้หญิงทุกคนมีความอ่อนแออยู่ในตัวของนาง อ่อนแอในพละกำลัง ความคิดและปัญหาทางศาสนา”

มันช่างน่าเสียดายยิ่ง สำหรับผู้หญิงบางคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้ ที่ยังจมปลักและตกเป็นทาสของวัฒนธรรมตะวันตกที่ไม่ใช่เป็นของตนเอง เราลองมาพิจารณาใคร่ครวญดูในโองการของอัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮุวะตาอาลา) ที่ว่า “และผู้ใดเล่าหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ปฎิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขา โดยไม่มีทางนำจากอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงนำหมู่ชนผู้อธรรม” ( 28:50 )


www.thaiislamic.com 

อัพเดทล่าสุด