บิดอะฮฺ ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นอย่างมากมายและแพร่หลาย อันเนื่องมาจาก วันเวลาที่ผ่านเนิ่นนาน และการศึกษาที่ลดน้อยลง เกิดการเพิ่มขึ้นของผู้ที่เรียกร้องไปสู่บิดอะฮฺและสู่สิ่งที่ขัดกับหลักการต่างๆ ของศาสนา
บิดอะฮฺ ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นอย่างมากมายและแพร่หลาย อันเนื่องมาจาก วันเวลาที่ผ่านเนิ่นนาน และการศึกษาที่ลดน้อยลง เกิดการเพิ่มขึ้นของผู้ที่เรียกร้องไปสู่บิดอะฮฺและสู่สิ่งที่ขัดกับหลักการต่างๆ ของศาสนา การเลียนแบบค่านิยม และตามประเพณีวัฒนธรรมของต่างศาสนิก สิ่งดังกล่าวนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงคำกล่าวที่สัจจริงของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า :
" แน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะเดินตามแนวทางที่หลากหลายของกลุ่มชนที่มาก่อนพวกเจ้า" (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 151)
มีพี่น้องบางท่านได้นำหะดีษการไม่ตอบรับเตาบะฮฺของชาวบิดอะฮฺ มาตั้งประเด็นถกเรื่องความถูกต้องของหะดีษดังกล่าวนี้ ซึ่งบ้างก็ว่าถูก และบ้างก็ว่าผิด กระนั้น ก็ยังไม่ได้มีการนำเสนอการตรวจสอบหะดีษอย่างเป็นหลักเป็นการเสียที ดังนั้นเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตัวผมเองและพี่น้อง จึงขอนำเสนอความเห็นของนักวิชาการต่อหะดีษบทนี้กันในวันนี้
عن أنس بن مالك قال، قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : إن الله حجب التوبة عن صاحب كل بدعة.
มีรายงานจากท่านอนัส อิบนุ มาลิก ว่าท่านได้กล่าวว่า “ท่านศานทูตของอัลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรงปิดกั้น(ความรู้สึกต้องการ)เตาบะฮฺจากผู้กระทำทุกบิดอะฮฺ”
หะดีษบทนี้ มีสายรายงานร่วม(ชะวาฮิด)และสายรายงานสนับสนุน(มุตาบะอะฮฺ)รวม ๆ แล้วกว่า 41 สายรายงาน (ตามการอ้างอิงจากสารานุกรมหะดีษอิเลคทรานิคส์ “ญะวามิอุลกะลิม”) ซึ่งมีสายรายงานที่เข้าขั้นว่าใช้ได้(หะสัน) 7 รายงาน และมีรายงานเข้าขั้นอ่อน (เฏาะอีฟ) 16 รายงาน และยังมีสายงานที่เข้าขั้นอุปโลกณ์ (เมาฎูอฺ) กว่า 17 รายงาน ซึ่งเมื่อพิจารณาด้านสายรายงานเพียงอย่างเดียวแล้ว สามารถจะกล่าวได้ว่ามีสายรายงานระดับ “หะสัน” อยู่ด้วย
โดยรายงานงานที่ดีที่สุดของหะดีษนี้คือรายงานที่ปรากฏในบันทึกของท่าน อัลหะสัน อิบนุ อิบรอฮีม อิบนุ ฟัยลฺ อัลบาลิสีย์ (มรณะเมื่อ ฮ.ศ. 309) โดยมีรายงานดังนี้
ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ---> ท่านอะนัส อิบนุ มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ --->
อบู อุบัยดะฮฺ หุมัยดฺ อิบนุ อบีหุมัยดฺ อัฏเฏาะวีล ---> อนัส อิบนุ อิยาฎ อัลลัยษีย์ ---> #ฮารูน อิบนุ มูสา อัลฟัรวีย์ --->
อัลหะสัน อิบนุ อิบรอฮีม อัลบาลิสีย์
โดยท่านฮารูน อัลฟัรวีย์ ถึงแม้จะมีนักวิชาการให้การรับรองความน่าเชื่อถือ #แต่ท่านอบุหาติมก็ได้ตำหนิเรื่องความจำของท่านว่า“แก่แล้ว”
ส่วนชัยคฺอัลบานีย์บอกว่า เศาะฮีฮฺนั้น
ก่อนอื่นต้องบอกว่าการหุกุ่มหะดีษนั้นเป็นประเด็นอิจติฮาด ซึ่งการตัดสินว่าหะดีษใดเศาะฮีฮฺนั้นเป็นใช้วินิจฉัยส่วนตัวของนักวิชาการ
และท่านเองก็ได้กล่าวรับรองเพียงด้านสายรายงานตามข้อมูลที่มีดังปรากฎในสำนวนคำรับรองของท่าน ซึ่งอาจเป็นได้ว่าท่านไม่ทราบการตำหนิของอบูหาติม เนื่องจากนักวิชาการญัรหวัตตะอฺดีลท่านอื่น ๆ ได้ทำการรับรองท่านฮารูนอัลฟัรวีย์กัน
อีกทั้งการที่ท่านรับรองว่าสายรายงานถูก ก็ไม่ได้แปลว่าท่านจะรับรองว่าหะดีษนั้นถูกต้องทั้งด้านรายงานและเนื้อความ โดยสองอย่างนี้มีหุกุ่มที่แยกกัน โดยเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ศึกษาวิชาหะดีษ พี้นที่ตรงนี้จึงไม่ใช่พื้นที่ที่ผู้ไม่มีความรู้จะเข้ามาแสดงความเห็น
หุกุ่มของหะดีษ
สามารถกล่าวได้ว่าหะดีษนี้เป็นหะดีษ เฎาะอีฟ โดยขอตามการตัดสินของนักวิชาการต่อไปนี้
ท่านอิมามอัซซะฮะบีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ซึ่งได้หุกุ่มว่าหะดีษนี้ เฎาะอีฟ จากรายงานของท่าน ฮารูน อิบนุ มูสา อัลฟัรวีย์ โดยปรากฏหนังสือ “มีซานุลอิอฺติดาล” ว่า “هذا منكر – นี่เป็นหะดีษมุงกัร” (มีซานุลอิอฺติดาล เลขที่ 9175)
ท่านอิบนุอะดีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้หุกุ่มว่า เฎาะอีฟ โดยกล่าวว่า “بأسانيد كلها مناكير بهذا الإسناد ومنها ما منتنه منكر
(หะดีษในสำนวนเหล่านี้ )ต่างมีสายรายงานที่เข้าขั้นมุงกัรทั้งสิ้นตามการสืบสายรายงานนี้(สายรายงานของ มุหัมมัด อิบนุ อับดิรเราะห์มาน อัลกุชัยรีย์) อีกทั้งตัวเนื้อหะดีษบางส่วนก็ยังมีสำนวนที่เข้าข่ายมุงกัรอีกด้วย” (อัลกามิล เล่ม 7 หน้า 505)
ท่านอิบนุลเญาซีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้หุกุ่มว่า เฎาะอีฟ โดยหลังจากที่ท่านนำเสนอหะดีษนี้ที่มาจากสายรายงานของ มุหัมมัด อิบนุ อับดิรเราะห์มาน อัลกุชัยรีย์ ท่านก็ได้กล่าวเสริมต่อไปว่า “هذا حديث لا يصح عن رسول الله
นี่เป็นหะดีษที่ไม่อาจกล่าวได้ว่า(ถูกรายงาน)มาจากท่านเราะสูลุลลอฮฺจริง” (อัลอิลัลุลมุตะนาฮียะฮฺ เล่ม 1 หน้า 145)
วัลลอฮุอะอฺลัม
ขอบคุณข้อมูลโดย: อัซซาบิกูน