ใครคือสามีที่ซอและห์-สามีที่ดีในอิสลาม


18,571 ผู้ชม

อัลลอฮฺได้ทรงเตือนบรรดาสามีให้ปฎิบัติต่อภรรยาของพวกเขาอย่างสุภาพนิ่มนวล  ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือแม้กระทั่งการกระทำ  การทำดีต่อภรรยานั้นคือการระงับการกระทำต่างๆ


สามีที่ซอและห์

ใครคือสามีที่ซอและห์-สามีที่ดีในอิสลาม

"และจงคลุกคลีกับพวกนาง (บรรดาภรรยา) ด้วยวิธีที่ดีเถิด (บิลมะอ์รูฟ) หากสูเจ้าเกิดไม่ชอบพวกนาง (ก็จงอดทนเถิด) ทั้งนี้เพราะบางทีสูเจ้าอาจไม่ชอบสิ่งหนึ่ง  แต่อัลลอฮฺได้ทรงบันดาลให้มีความดีอันมากมายในสิ่งนั้น" (อันนิซาอ์ : 19)
ความหมายของ บิลมะอ์รูฟนั้นคือ  "ด้วยดีและอย่างเฉลียวฉลาด" นี่แหละคือความลับที่ไม่เคยถูกค้นพบในหลักคำสอนของศาสนาอื่น  และการปฎิบัติต่อภรรยาอย่างดีและอย่างเฉลียวฉลาดนั้นจะต้องทำกันอย่างไร ? ในกรณีนี้ท่านนบี (ซ.ล.) ได้ทำไว้เป็นตัวอย่าง
คืนหนึ่ง ท่านนบี (ซ.ล.)ได้กลับมาบ้านและพบว่าภรรยาของท่านกำลังนอนหลับสนิทอยู่ ดังนั้นด้วยกับเสียงที่แผ่วเบา ท่านนบี (ซ.ล.) ให้สลามแก่นาง 3 ครั้งติดต่อกัน แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ  เพราะภรรยาของท่านนอนหลับสนิท ท่านจึงมอบหมายต่ออัลลอฮฺพร้อมกับปูเสื่อละหมาดของท่านหน้าประตู แล้วล้มตัวลงนอนที่หน้าประตูจนกระทั่งรุ่งเช้า และหลังจากที่ภรรยาของท่านนบี (ซ.ล.)ตื่นนอน และเห็นว่าสามีของนางนอนอยู่ที่หน้าประตู นางรู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง และได้ขอมาอัฟต่อท่านนบี(ซ.ล.)ครั้งแล้วครั้งเล่า  ท่านนบี(ซ.ล.)  แทนที่จะดุด่าโกรธเคืองนาง  ท่านกลับจูงเดินเข้าบ้านพร้อมกับกล่าวอย่างจริงใจว่า "ไม่เป็นไรหรอก โอ้ภรรยาของฉันเอ๋ย  ฉันไม่ต้องการจะปลุกเจ้า ที่กำลังนอนหลับสนิทเอง...."
นี่แหละ คือ  การปฎิบัติต่อภรรยาของ นบี (ซ.ล.)  ฉะนั้นจึงไม่ถือว่า  เป็นสิ่งเลยเถิดหากนบี (ซ.ล.)ของเราจะกล่าวว่า  "และฉันคือผู้ที่ทำดีต่อครอบครัว  ได้ดีมากที่สุดในหมู่ของพวกเจ้า"
------------------
สิ่งที่เรามักจะพบเห็นกันในสังคมก็คือ สามีจะเคาะประตูดังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  เพื่อปลุกให้ภรรยาตื่นนอน  แล้วในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น  ภรรยาก็ลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ จนบางทีนางอาจจะพลาดเปิดประตูผิดไปเคาะหัวของสามีจนเป็นสาเหตุให้เขาทั้งสองต้องทะเลาะกัน 
อัลลอฮฺได้ทรงเตือนบรรดาสามีให้ปฎิบัติต่อภรรยาของพวกเขาอย่างสุภาพนิ่มนวล  ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือแม้กระทั่งการกระทำ  การทำดีต่อภรรยานั้นคือการระงับการกระทำต่างๆ ที่ไม่ดีและไม่เหมาะสม  และนี่เป็นการแสดงความขอบคุณและความรักของสามีต่อภรรยาของเขา  ดังที่อัลลอฮฺได้บอกไว้ว่า  
"และจงคลุกคลีกับพวกนางด้วยวิธีที่ดีเถิด"  (อันนิซาอ์ : 19)  
การคลุกคลีกับภรรยาด้วยวิธีที่ดีนั้น  ไม่ได้หมายความเพียงแค่ไม่ทำร้ายนางเท่านั้น  แต่ทว่ามันรวมถึงการระงับตัวเองจากการทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมที่จะกระทำต่อภรรยา  นั่นคือ สามีจะต้องมีความอดทนในการเผชิญกับพฤติกรรมต่างๆ ของภรรยาที่ทำไปอย่างไม่ตั้งใจ หรือไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน  เนื่องจากไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง  หากสามีค้นพบพฤติกรรมต่างๆที่ไม่เหมาะสมจากภรรยา  สามีจะต้องอดกลั้นตนเอง  และหาวิธีตักเตือนแก้ไขภรรยาของเขาด้วยวิธีที่ดี   ทั้งนี้เราได้ถูกใช้ให้ทำดีกับเพื่อนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเรามากที่สุด  ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นใด ภรรยาของเรานั่นเอง  
ภรรยาของเราน่าถนุถนอมนะค่ะ  เห็นด้วยป่าว...
คุณสมบัติ
  
-หยอกล้อกับภรรยา เพื่อทำให้หัวใจของนางเบิกบาน   ท่านนบี (ซ.ล.)เคยชวนภรรยาของท่านหยอกล้อเล่น  และทำตามแนวความคิดของพวกนาง  เหมาะสมกับระดับภูมิปัญญาของพวกนาง  ท่านนบีเคยพาท่านหญิงอาอิชะฮฺ  ไปดูการละเล่นของบรรดาซอฮาบะห์  กระทั่งนางรู้สึกเพียงพอ แล้วถามนางว่า  : พอแล้วหรือยังจ๊ะ?  
หลังจากนั้นนบี (ซ.ล.) ก็กล่าวกับบรรดาซอฮาบะห์ว่า : ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกเจ้า  ก็คือผู้ที่ปฎิบัติตัวอย่างดีต่อภรรยาของเขามากที่สุด และฉันคือผู้ที่ปฎิบัติตัวอย่างที่ดีที่สุดในหมู่พวกเจ้าต่อภรรยาของฉัน (รายงานโดย ท่านตัรมีซีย์)
 
-สามีนั้นจะต้องไม่เลยเถิดในการหยอกล้อกับภรรยาหรือทำดีกับนางอย่างไม่ถูกที่  หรือทำตามความต้องการของนางมากเกินไป (เรียกว่าให้ท้าย หรือเกรงใจนั่นเอง ) จนละเมิดต่อขอบเขตและบทบัญญัติของศาสนา  จนทำให้นางกลายเป็นคนที่ไม่มีมารยาทที่ดี (แฮ่ๆๆให้ท้ายจนนางเหลิง )  และทำให้ฐานะความเป็นสามีของตัวเองตกต่ำ   หากสามีพบเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในตัวภรรยา เขาจะต้องไม่เกรงใจที่จะว่ากล่าวตักเตือนนาง  และไม่ปล่อยปละละเลยให้ภรรยาถลำลงไปทำบาป  จงชักจูงและอบรมภรรยาของท่านอย่างดี อย่างมีไหวพริบเถิด
 
   -มีความหึงหวงอย่างถูกที่  กล่าวคือ  สามีจะต้องไม่ละเลยที่จะคอยเป็นห่วงเป็นใย ต่อสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ภรรยาของเขานอกลู่นอกทาง  แต่ทว่าเขาก็จงอย่าเอาแต่สงสัยแคลงใจอย่างไม่ถูกที่ หรือเอาแต่มองหาความผิดพลาดของภรรยา  
   
   ท่านนบี (ซ.ล.)  กล่าวว่า :  แท้จริงส่วนหนึ่งจากการหึงหวงนั้น  มีการหึงหวงที่อัลลอฮฺทรงรังเกียจ นั่นก็คือ  การหึงหวงของชายคนหนึ่งต่อภรรยาของเขาโดยไร้เหตุผล (รายงานโดยอาบูดาวูด)
   
   การหึงหวงที่เลยเถิดนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาห้าม  ส่วนการหึงหวงที่เหมาะสมและถูกที่นั้น แน่นอนมันคือสิ่งที่ปรากฎออกมาอันเป็นผลมาจากความรัก และเป็นพฤติกรรมที่น่าสรรเสริญ 
   ท่านนบี (ซ.ล.) มักจะอนุญาติบรรดาภรรยาของท่านให้ไปมัสยิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอีดอีดิลฟิตรีและอีดิลอัฎฮา  ดังนั้นการไปมัสยิดสำหรับสตรีนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาติทั้งนี้เพราะมันคงจะเกิดการประณามขึ้นมาได้  และนี่เองต้องได้รับการอนุญาติจากสามีก่อน  อย่างไรก็ตามการทำละหมาดที่บ้าน (สำหรับสตรี)นั้น  ย่อมดีกว่าและเป็นที่ปลอดภัยกว่า  จำเป็นต้องเน้น ณ ที่นี้ว่า  การที่สตรีคนหนึ่งออกไปข้างนอกเพียงเพื่อดูโน้นดูนี่  หรือเพื่อธุระที่ไม่ใช่ธุระนั้น (คือไร้สาระนั่นเอง) สามารถทำให้ศักดิ์ศรีของนางลดน้อยลงไป  และอาจทำให้นางตกลงไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร  และหากจำเป็นต้องออกไปข้างนอก นางก็จงลดสายตาของนางลง  จากการมองสิ่งที่ไม่ดี
คุณสมบัติ
- ให้นัฟเกาะห์ (ค่าเลี้ยงดู) : ผู้เป็นสามีจะต้องให้นัฟเกาะห์ที่เหมาะสมกับความจำเป็นของครอบครัว  ไม่มากหรือน้อยกว่าความจำเป็นของพวกเขา ทั้งนี้อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า " จงกินและดื่ม แต่จงอย่าสุรุ่ยสุร่าย " (อัลอะอ์รอฟ : 31)
มีรายงานว่า สุนัตให้สามีจัดหาของหวาน หรืออาหารที่อร่อย เอาไว้สำหรับครอบครัว (อย่างน้อย) หนึ่งครั้งในทุกหนึ่งสัปดาห์  และที่ดีแล้วสามีจะต้องใช้ภรรยาของเขาให้แจกจ่ายอาหารที่เหลือที่หากเก็บไว้อาจจะเสียได้ไป  และนี่คือระดับความดีงามที่ต่ำที่สุด
ผู้เป็นสามีจะต้องไม่เห็นแก่ตัวโดยไม่นึกถึงภรรยาและครอบครัวของตนเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับอาหารการกิน  ยกตัวอย่าง ตัวเองเลือกกินแต่อาหารที่ดีๆ  ส่วนลูกเมียให้กินแต่อาหารที่เหลือกินจากตนแล้ว  การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ศาสนาห้ามเป็นอย่างยิ่ง  เพราะมันจะสร้างความเกลียดชังขึ้นในใจ   และนับเป็นเรื่องที่ไม่ดีหากผู้เป็นสามีกล่าวถึงอาหารหนึ่งอาหารใดทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะซื้ออาหารนั้นๆ  ให้แก่ครอบครัวของเขา และในเวลาทานอาหารเขาสมควรที่จะต้องใช้ให้สมาชิกทุกคนร่วมทานพร้อมๆกัน     อีกประเด็นหนึ่งที่สามีจำเป็นต้องเอาใจใส่ก็คือ  เขาจะต้องจัดหาเฉพาะอาหารที่ถูกต้องตามหลักศาสนา (ฮาลาล)  ให้แก่ลูกเมียของเขา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องตัวอาหารและวิธีได้มาซึ่งอาหารนั้นๆ จงอย่าเอาอาหารที่ได้มาด้วยวิธีที่ต้องห้ามมาให้แก่ครอบครัว เช่น ไปลักขโมยหรือฉ้อโกงคนอื่นมา  เพราะการกระทำดังกล่าว  คือความชั่วร้ายและเป็นที่ต้องห้ามอย่างยิ่งในศาสนา 
คุณสมบัติ
-  ผู้เป็นสามีจะต้องศึกษาอย่างจริงจังในประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่อง การทำความสะอาดพร้อมทั้งข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกัน  และเขาจำเป็นต้องสอนมันให้แก่ภรรยา  หากภรรยาไม่รู้หรือไม่เข้าใจ  นอกจากนี้สามีจะต้องสอนภรรยาของเขาเกี่ยวกับบทบัญญัติต่างๆของศาสนา  พร้อมทั้งส่งเสริมนางให้ภักดีต่ออัลลอฮฺ  และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม  และหากเขาเห็นว่า  ภรรยาของเขาไม่เอาใจใส่เรื่องศาสนา  เขาจำเป็นต้องว่ากล่าวตักเตือนนาง  อนึ่ง เมื่อใดที่สามีได้สั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ภรรยาจำเป็นต้องรู้  ภรรยาไม่จำเป็นต้องไปถามหรือเรียนกับผู้อื่นอีก  แต่หากสามีไม่มีความสามารถที่จะให้การอบรมสั่งสอน  ก็อนุญาติให้ภรรยาออกไปศึกษาเล่าเรียนสิ่งที่นางจำเป็นต้องรู้ได้  ซึ่งหากสามีของนางขัดขวางเพื่อเป้าหมายดังกล่าว  สามีก็ถือว่า มีบาปต่ออัลลอฮฺ   
คุณสมบัติ   
- สามีต้องว่ากล่าวตักเตือนภรรยาของเขาหากนางทำผิด  ให้การอบรมสั่งสอนแก่นางอย่างชาญฉลาด  และหากเกิดมีการทะเลาะหรือขัดใจกันขึ้นจากทั้งสองฝ่าย  ก็จะต้องมีการพูดคุยกันโดยมีคนกลาง 2  คนจากทั้งสองฝ่าย เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย คนหนึ่งจากฝ่ายครอบครัวสามี และอีกคนหนึ่งจากครอบครัวฝ่ายภรรยา  ซึ่งทั้งสองคนจะต้องมอบหมายหน้าที่การไกล่เกลี่ยทั้งสอง เพื่อหาวิธีแก้ไขอย่างดีที่สุด  และหากเป็นไปได้พวกเขาทั้งสองจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันใหม่  ทั้งนี้และทั้งนั้น นี่คือบทบัญญัติของอัลลอฮฺในอัลกุรอาน
"และหากพวกเจ้าเกรงว่าจะเกิดการแตกแยกระหว่างคนทั้งสอง (สามีภรรยา) พวกเจ้าก็จงแต่งตั้งผู้ชี้ขาด (คนกลาง) ขึ้น หนึ่งคนจากญาติของเขา (สามี) และอีกหนึ่งคนจากญาติของนาง (ภรรยา)  หากคนทั้งสองหวังที่จะปรองดอง  อัลลอฮฺก็จักทรงให้เกิดสัมฤทธิ์ผลระหว่างคนทั้งสอง" (อันนิซาร์ : 35)
แต่หากการทะเลาะขัดใจกันนั้น เกิดขึ้นมาจากทางฝ่ายภรรยา อาทินางทำการดื้อดึง ไม่เชื่อฟังต่อสามี (นุชูซ) ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประเภทนี้  อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดว่า 
"เหล่าบุรุษย่อมเป็นผู้ยืนอยู่บน (การปกครอง รับผิดชอบเลี้ยงดู) บรรดาสตรี" (อันนิซาอ์ : 34)
ด้วยเหตุดังกล่าวในกรณีนี้  สามีจำเป็นต้องอบรมภรรยาของเขา และใช้ให้นางเชื่อฟังเขาอย่างเป็นลำดับขั้นตอน  กล่าวคือ  ให้เริ่มต้นด้วยการว่ากล่าวตักเตือนอย่างมีไหวพริบ  เตือนนางถึงการลงโทษของอัลลอฮฺเหนือภรรยาที่ดื้อดึงต่อสามี  และหากวิธีนี้ไม่ได้ผลก็ให้หันหลังให้กับนางในขณะที่นอนด้วยกัน  หรือไม่ก็นอนแยกกับนาง และไม่ต้องพูดคุยด้วย  ถึงแม้ว่าจะยังคงอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน  ต่อจากนั้นหากวิธีนี้ยังคงไม่ได้ผลและนางยังคงดื้อดึงต่อเขา  ก็อนุญาติให้เขาตบตีนางได้  แต่อย่าถึงขนาดกับทำร้ายนาง  และจงอย่าตบตีใบหน้าของนาง  เพราะการกระทำเช่นนั้นถือว่าต้องห้าม (ฮะรอม) 

ที่มา: www.sunnahstudent.com

อัพเดทล่าสุด