อัลลอฮทรงส่งนบีซอลิฮ์ มายังกลุ่มชนษะมูต กลุ่มชนนี้กราบไหว้บูชารูปปั้น พวกเขามีความหวังว่านบีซอลิฮฺจะมาเป็นผู้นำของพวกเขาเนื่องจากท่านนบีซอลิฮฺมีความฉลาดเเละเป็นคนดี เเต่พวกเขาผิดหวังอย่างเเรงเมื่อนบีซอลิฮฺชักชวนพวกเขามานับถือพระเจ้าองค์เดียว
ษะมูต อาหรับโบราณที่สูญพันธุ
อัลลอฮทรงส่งนบีซอลิฮ์ มายังกลุ่มชนษะมูต กลุ่มชนนี้กราบไหว้บูชารูปปั้น พวกเขามีความหวังว่านบีซอลิฮฺจะมาเป็นผู้นำของพวกเขาเนื่องจากท่านนบีซอลิฮฺมีความฉลาดเเละเป็นคนดี เเต่พวกเขาผิดหวังอย่างเเรงเมื่อนบีซอลิฮฺชักชวนพวกเขามานับถือพระเจ้าองค์เดียว
“ซอลิฮฺเอ๋ย ท่านเป็นคนที่ในหมู่พวกเราคาดหวังไว้มาจนกระทั่งขณะนี้ แล้วท่านมาห้ามพวกเราไม่ให้พวกบรรพบุรุษของเราเคารพสักการะมาก่อนกระนั้นหรือ? พวกเราชักจะสงสัยเหลือเกินถึงสิ่งที่ท่านกำลังเรียกร้องพวกเราไป” (กุรอาน 11:62)
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็เชื่อเขาพวกเขาสงสัยในคำพูดของนบีซอลิฮฺโดยเขาคิดว่าเขาถูกทำเสน่ห์จะพวกเขาเห็นว่านบีซอลิฮฺไม่ยอมหยุดการเผยแผ่สั่งสอน ด้วยความกลัวว่าคนที่ปฏิบัติตามเขาจะมีมากขึ้นพวกเขาได้พยายามที่จะขจัดนบีซอลิฮฺโดยให้เขาทำงานที่สำคัญเพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ นั่นคือ การให้เขาแสดงปาฏิหาริย์โดยการให้เอาอูฐตัวเมียที่ไม่เหมือนใครทั้งตัวใหญ่เเละสง่างามออกมาจากภูเขา
นักอรรถาธิบายคัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่าชาวษะมูดได้รวมตัวกันในสถานที่ชุมนุมแห่งหนึ่งและนบีซอลิฮฺได้มาบอกพวกเขาให้ศรัทธาในอัลลอฮฺโดยเตือนพวกเขาให้นึกถึงความโปรดปรานที่พระองค์มีต่อพวกเขา
หลังจากนั้น พวกเขาก็ชี้ท้าทายไปยังที่หินก้อนหนึ่งและเรียกร้องว่า “จงขอพระเจ้าของท่านให้ทำอูฐตัวเมียขึ้นมาสักตัวหนึ่งซึ่งตั้งท้องสิบเดือน รูปร่างสูงและสวยงามออกมาจากภูเขาให้เราดูซิ”
นบีซอลิฮฺได้ตอบว่า “นี่ ถ้าอัลลอฮฺได้ส่งอะไรก็ตามที่ท่านร้องขอมายังพวกท่านตามที่ต้องการ พวกท่านจะเชื่อในสิ่งที่ฉันนำมายังพวกท่านและศรัทธาในสิ่งที่ฉันนำมาหรือไม่?”พวกเขาตอบว่า “ศรัทธาซิ”
ดังนั้น นบีซอลิฮฺจึงได้ถือว่าพวกเขาสัญญาในเรื่องนี้ หลังจากนั้น เขาก็วิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ประทานสิ่งที่คนเหล่านั้นร้องขอ อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้ภูเขาที่ห่างอยู่ไกลออกไปแยกออกและมีอูฐตัวเมียท้องสิบเดือนตัวใหญ่ออกมาจากภูเขานั้น ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้เห็นเพราะมันเป็นความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่และเป็นหลักฐานที่ชัดเจนต่อสายตาของทุกคน
กลุ่มชนษะมูตต้องทำตามสัญญาเเบบกลับกลอกต่อท่านนบีซอลิฮอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเป็นผู้เรียกร้องท้าทายให้อูฐปรากฏออกมาเอง ต่อหน้าทำเป็นช่วยกันดูเเลอูฐเเบ่งน้ำเเบ่งอาหาร. เเต่ในใจพวกเขาคิดวางเเผนการชั่วร้ายต้องการที่จะฆ่าอูฐ
บ่อน้ำ
นักวิชาการอธิบายเรื่องดังนี้ น้ำจากแหล่งน้ำของพวกเขาถูกแบ่งออกเป็น 2 วัน วันหนึ่งสำหรับพวกเขาใช้และดื่ม และอีกวันหนึ่งสำหรับอูฐตัวเมียที่เขาเรียกร้องให้ออกมาจากหน้าผานั้น
เมื่อเวลาล่วงเลยนานวันเข้า พวกเขาเริ่มเบื่อหน่ายต่อการจัดสรรน้ำดังกล่าว เเถมอูฐมีรูปร่างใหญ่. ดื่มน้ำเยอะ พวกเขามีความกลัว ว่าวันต่อมาน้ำจะหมดเเละพวกฝูงสัตว์พวกเขาอาจจะอดน้ำ
ดังนั้นพวกเขาจึงได้วางเเผนให้เพื่อนของเขาคือ "กุดาร อิบนุ ซาลิฟ" ให้ฆ่าอูฐตัวเมียตัวนั้นเสีย ดังนั้นเขาจึงฆ่ามันด้วยดาบของเขาด้วยการตัดขาอูฐออกสองข้าง แล้วฆ่ามันอย่างทารุณโดยไม่คำนึงถึงคำสั่งห้ามมิให้ทำร้ายอูฐตัวนั้น
"ต่อมาพวกเขาได้ฆ่ามัน ดังนั้น (ซอและฮ์) จึงได้กล่าวว่า "พวกเจ้าจงสุขสำราญในบ้านของพวกเจ้าเป็นเวลาสามวัน นั่นคือสัญญาที่ไม่โกหก"
" ดังนั้น เมื่อพระบัญชาของเราได้มาถึง เราได้ช่วย ซอและฮ์และบรรดาผู้ศรัทธาร่วมกับเขาให้รอดพ้นด้วยความเมตตาจากเรา และจากความอดสูของวันนั้น แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพ"
"และเสียงกัมปนาท ได้ทำลายบรรดาผู้อธรรม แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้คุกเข่าตายในบ้านของพวกเขาเอง"
(อัลกุรอาน 11/65-67)
"แล้วความไหวของแผ่นดินก็ได้คร่าพวกเขา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้คุกเข่าตายในบ้านของพวกเขาเอง"
(อัลกุรอาน 7/78)
"เสมือนกับว่า พวกเขามิได้เคยอยู่ในนั้นมาก่อน พึงทราบเถิดว่า แท้จริง ษะมูต นั้นปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา พึงทราบเถิดว่า จงห่างไกล จากความเมตตาเถิดสำหรับ ษะมูต"
(อัลกุรอาน 11/68)
"แล้วเขา (ซอและฮ์) ก็หันออกจากพวกนั้น และกล่าวว่า "โอ้กลุ่มชนของฉันแท้จริง ฉันได้ประกาศสารแห่งพระผู้อภิบาลของฉันแก่พวกเจ้าแล้ว และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกเจ้าด้วย แต่ทว่าพวกเจ้าไม่ชอบบรรดาผู้ที่ชี้แจงแนะนำ"
(อัลกุรอาน7/79)
"และอ๊าดและซะมูด และได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเจ้าแล้ว จากที่พำนักของพวกเขา และมารชัยฏอนได้ทำให้การงานของพวกเขา เป็นที่เพริศแพร้วแก่พวกเขา แล้วมันได้หันเหพวกเขาออกจากแนวทางโดยที่พวกเขาเป็นผู้มีสติปัญญาพิจารณา"
(อัลกุรอาน29/38)
ซากโบราณสถานเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ล้ำค่าอย่างหนึ่งซึ่งชาติต่างๆนำมาเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่มีซากโบราณสถานบางแห่งในโลกนี้ที่เจ้าของประเทศไม่เต็มใจเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วไปได้เข้าไปทัศนศึกษาหาความรู้ หนึ่งในโบราณสถานดังกล่าวก็คือ “มะดาอิน ซอลิฮ์” ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
มะดาอิน ซอลิฮ์ เป็นที่ตั้งของซากเมืองก่อนหน้าสมัยอิสลาม มีอายุเก่าแก่นับพันปีก่อนคริสตกาล เมืองนี้เป็นที่ตั้งของชนชาติษะมูดซึ่งเป็นชนชาติอาหรับโบราณที่ถูกทำลายสูญหายไป แต่บ้านเรือนของผู้คนในเมืองนี้ยังมีให้เห็นเป็นหลักฐานอยู่จนกระทั่งปัจจุบันและองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้ว
ซากบ้านเรือนของชาวษะมูดอยู่ยงคงกระพันและทนทานต่อกาลเวลา ก็เพราะชาวษะมูดไม่ได้สร้างบ้านด้วยไม้ แต่สร้างโดยการเจาะหรือสกัดภูเขาหินเข้าไปทำเป็นบ้าน แน่นอนคนที่จะทำเช่นนี้ได้ต้องมีร่างกายใหญ่โตและแข็งแรง
คัมภีร์กุรอานเล่าว่า ชาวษะมูดเป็นชนชาติรุ่นหลังชาวอ๊าดที่ถูกทำลายจนหายสาบสูญไปใต้ผืนทะเลทราย ชาวษะมูดเป็นชนชาติที่เคารพกราบไหว้รูปปั้น และเนื่องจากเป็นชนชาติที่มีความเข้มแข็ง ชาวษะมูดจึงมักกดขี่ข่มเหงชนชาติอื่นๆและละเมิดขอบเขตศีลธรรมในทุกด้าน
ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้คัดเลือกซอลิฮฺซึ่งเป็นผู้มีคุณธรรมคนหนึ่งในหมู่ชาวษะมูดขึ้นมาเป็นนบี เพื่อตักเตือนสั่งสอนชาวษะมูดให้อยู่ในร่องรอยของศีลธรรมและหันไปสักการะพระเจ้าองค์เดียว มิเช่นนั้นพวกเขาจะถูกพระเจ้าลงโทษ
แต่แทนที่ชาวษะมูดจะเชื่อฟัง พวกเขากลับกล่าวหาซอลิฮ์ว่าโดนเวทมนตร์หรือไม่ก็เสียสติ พวกผู้นำชาวษะมูดได้ท้าทายซอลิฮ์ว่า “ถ้าพระเจ้าและการลงโทษของพระองค์มีจริง ก็จงขอพระเจ้าของท่านให้นำอูฐตัวเมียท้องสิบเดือนรูปร่างสูงใหญ่สวยงามออกมาจากหินให้ดูหน่อย”
ซอลิฮ์จึงตอบว่า “ถ้าพระเจ้าทำสิ่งที่ท่านร้องขอแล้ว พวกท่านจะศรัทธาในพระเจ้าไหม?”
พวกเขาตอบว่า “ศรัทธาซิ”
เมื่อชาวษะมูดรับปากเช่นนั้น ซอลิฮ์ก็ได้วิงวอนต่อพระเจ้าให้แสดงอำนาจของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวษะมูด สักพักหนึ่งชาวษะมูดทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ได้เห็นอูฐตัวเมียท้อง 10 เดือนตัวใหญ่เดินออกมาจากภูผาหินที่แยกออกเป็นช่องให้มันเดินอย่างสง่าผ่าเผย
ซอลิฮ์บอกคนเหล่านั้นว่า “นี่คืออูฐตัวเมียของพระเจ้า มันเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน จงปล่อยให้มันกินหญ้ากินน้ำตามลำพังวันหนึ่งแล้ววันรุ่งขึ้นพวกท่านจึงค่อยนำสัตว์ของพวกท่านมากินน้ำกินหญ้า ระวังให้ดี อย่าทำร้ายมัน มิฉะนั้นพวกท่านจะได้รับการลงโทษ”
ชาวษะมูด ปล่อยให้อูฐของพระเจ้าตัวนั้นกินหญ้าและดื่มน้ำอย่างอิสระเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อพบว่ามันกินจุทั้งหญ้าทั้งน้ำ ชาวษะมูดก็เริ่มไม่พอใจและหาทางที่จะกำจัดอูฐตัวนั้น อย่างไรก็ตาม มีชาวษะมูดบางคนเห็นสิ่งมหัศจรรย์แล้วได้หันมาเป็นสาวกของซอลิฮฺ
หลังจากนั้นชาวษะมูดได้เริ่มวางแผนฆ่าอูฐโดยการจ้างมือสังหารเจ็ดคนมาทำหน้าที่ฆ่าอูฐ การสังหารอูฐเริ่มต้นด้วยการที่ใครคนหนึ่งยิงธนูใส่ขาอูฐตัวใหญ่ในขณะที่มันกำลังกินน้ำ เมื่ออูฐพยายามหนี มือสังหารที่เหลือก็เข้าไปฟันขาของมันจนล้มลง หลังจากนั้นทุกคนก็จ้วงแทงอูฐของพระเจ้าตัวนั้นจนสิ้นชีวิต
พวกที่ลงมือฆ่าอูฐได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ ชาวเมืองได้ร้องเพลงและแต่งบทกวียกย่องกลุ่มมือสังหาร คนพวกนี้เยาะเย้ยซอลิฮ์ด้วยความโอหัง แต่ซอลิฮ์ได้เตือนพวกเขาว่า “จงสนุกสนานรื่นเริงไปอีกสามวันเถอะ หลังจากนั้นการลงโทษก็จะมายังพวกท่าน”
ซอลิฮฺหวังว่าคนเหล่านั้นจะเห็นความโง่เขลาของตนเองและเปลี่ยนแปลงท่าทีโดยหันมาขออภัยต่อพระเจ้าก่อนที่จะหมดเวลา 3 วัน
แต่คนเหล่านั้นกลับพูดจาท้าทายว่า “ทำไมต้องสามวันด้วย? แน่จริง เอาการลงโทษมาให้เร็วกว่านี้สิ”
เมื่อครบกำหนด 3 วัน ชาวษะมูดก็ได้รับการลงโทษของพระเจ้าที่พวกเขาท้าทาย คัมภีร์กุรอานเล่าว่าหายนะในครั้งนั้นรุนแรงฉับพลันจนผู้คนไม่ทันตั้งตัว แผ่นดินสั่นสะเทือน มีทั้งเสียงร้องระงมของชาวษะมูด เสียงคำรามจากท้องฟ้าและมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ คัมภีร์กุรอานได้สาธยายอีกว่าหายนะภัยครั้งนั้นทำให้ชาวษะมูดนอนคว่ำหน้าตายในบ้านของตัวเองและไม่มีใครเหลือรอดจนราวกับว่าแผ่นดินตรงนี้ไม่เคยมีชาวษะมูดมาก่อน
เนื่องจากซากบ้านเรือนของชาวษะมูดยังปรากฏอยู่บนเส้นทางค้าขายของชาวมักก๊ะฮฺที่ไปยังซีเรีย นบีมุฮัมมัดจึงได้นำเรื่องราวของชาวษะมูดมาเล่าให้ชาวมักก๊ะฮฺฟังเพื่อเป็นการเตือนชาวมักก๊ะฮฺว่า ก่อนหน้านี้ชนชาติที่เคยเข้มแข็งมั่งคั่งกว่าชาวมักก๊ะฮเคยถูกทำลายมาแล้ว เพราะการปฏิเสธพระเจ้าโดยการท้าทายนบีของพระองค์ ดังนั้น จงอย่าท้าทายพระเจ้า
ครั้งหนึ่ง ท่านนบีมุฮัมมัดเดินทางผ่านที่อยู่อาศัยของชาวษะมูด ท่านได้หยุดพักกับผู้คนที่นั่น มีคนไปเอาน้ำจากบ่อที่ชาวษะมูดเคยดื่มมาใส่ถุงหนังของตนและทำขนมปังโดยใช้น้ำจากบ่อน้ำที่นั่น ท่านนบีได้สั่งคนเหล่านั้นให้เทน้ำออกจากถุงหนังของพวกเขาทิ้งและให้นำขนมปังที่เตรียมไว้ไปให้อูฐกินและท่านได้เตือนคนของท่านว่าอย่าได้มีพฤติกรรมเหมือนกับชาวษะมูด