เมื่อมีแมลงวันได้ตกใส่ภาชนะของพวกท่านคนใดคนหนึ่ง ให้กดมันให้จมไปทั้งตัว หลังจากนั้นค่อยเอาไปทิ้ง เพราะปีกข้างหนึ่งจากสองปีกของมันนั้นเป็นยาและปีกอีกข้างหนึ่งของมันเป็นโรค
ท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า “เมื่อมีแมลงวันได้ตกใส่ภาชนะของพวกท่านคนใดคนหนึ่ง ให้กดมันให้จมไปทั้งตัว หลังจากนั้นค่อยเอาไปทิ้ง เพราะปีกข้างหนึ่งจากสองปีกของมันนั้นเป็นยาและปีกอีกข้างหนึ่งของมันเป็นโรค” รายงานโดยท่านบุคอรี นะซาอี และท่านอบีดาวูด
จากการศึกษาพบว่า ส่วนมากแล้วแมลงวันจะมีเชื้อโรคติดอยู่ตามขาทั้งหกข้างและปีกทั้งสองข้างของมัน เนื่องจากชอบอยู่ในที่ที่สกปรกและขามันมีลักษณะเป็นขนๆ เชื้อโรคจึงมักจะเกาะติดไปกับมันโดยง่าย แต่ลำไส้ของแมลงวันมีไวรัสชนิดหนึ่งอาศัยอยู่และไวรัสชนิดนี้เองที่เป็นตัวจับแบคทีเรียทั้งหมดนี้ และปล่อยดีเอ็นเอของมันเข้าไปในเซลล์ เชื้อโรคเหล่านี้จึงต้องผลิตแต่ตัวไวรัสชนิดนี้ออกมาจนตัวเชื้อโรคเองต้องแตกออกและตายไปในที่สุด
ไวรัสชนิดนี้จึงมีชื่อว่า แบคเทริโอเฟจ (Bacteriophage) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า เฟจ (Phage) แปลว่าผู้ฆ่าแบคทีเรียนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้จักกันดีและได้ถูกใช้นำมาฆ่าเชื้อโรคที่ทำอันตรายต่อมนุษย์เป็นเวลาช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นอเล็กซานเดอร์เฟลมมิง คิดค้นยาปฏิชีวนะคือยาเพนิซิลลินขึ้นมาได้เป็นครั้งแรก ก็เลยทำให้แบคเทริโอเฟจ ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงไปและไม่ค่อยมีการค้นคว้าเกี่ยวกับมันอีก นอกจากในประเทศรัสเซียซึ่งยังมีการค้นคว้ากันอยู่
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อาศัยร่วมในลำไส้ของแมลงวันแต่ไม่ทำอันตรายแมลงวันนั้นก็มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคด้วยเช่นเดียวกัน โดยเป็นพวกเชื้อราบางชนิดเขาเรียกพวกนี้ว่า ไมโครไบโอตา (Microbiota) ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ นั่นเอง
วิธีการฆ่าตัวเชื้อโรคของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ โดยการไหลออกมาตามท่อหายใจที่อยู่ข้างลำตัวมันนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่อหายใจที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่ตรงบริเวณหน้าอกใต้ปีกของแมลงวันนั้นเอง เมื่อแมลงวันถูกกดให้จมน้ำ มันจะสำลักและย้อนเอาของที่อยู่ในลำไส้ของมันออกมาซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ แบคเทริโอเฟจ และในขณะเดียวกันก็ยังมีไมโครไบโอตา ที่ถูกขับออกมาทางท่อหายใจออกมาฆ่าเชื้อโรคด้วย
ดังนั้น การที่แมลงวันตกลงไปในน้ำ จึงทำให้น้ำนั้นมีเชื้อโรคแต่เมื่อกดแมลงวันนั้นให้จม สารกำจัดโรคก็จะออกมาฆ่าเชื้อโรคเหล่านั้นได้ และสารนั้นก็อยู่บริเวณโคนปีกของแมลงวันนั่นเอง สมจริงดังคำบอกเล่าของท่านศาสดาที่กล่าวไว้เมื่อพันสี่ร้อยปีก่อน ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักตัวเชื้อโรค และแน่นอนไม่มีใครรู้จักสารฆ่าเชื้อโรคด้วยซ้ำไป แม้แต่วิทยาการสมัยใหม่ก็เพิ่งรู้จักมันเมื่อประมาณร้อยกว่าปีมานี่เอง
ที่มา: นายแพทย์กษิดิษ ศรีสง่า