การทำฮัจญ์(แสวงบุญ)ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของท่านศาสดามูฮัมหมัด
ตลอดเวลาแห่งการประกาศศาสนา อิสลาม ของท่านนบี(ศาสนทูต) มูฮัมหมัด มาได้ราว 20 กว่าปี บางช่วงของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าท่าน นบีได้เข้ามาที่เมืองมักกะฮ์ สอง ครั้ง และได้ทำพิธีสักการะแบบเยี่ยมเยือนวิหารแห่งนี้ แต่นั่นก็มิใช่การทำฮัจญ์อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงเวลานั้นวิหารแห่งนี้ยังมีผู้คนที่สักการะวิหารแห่งนี้ในรูปแบบต่างๆตามลัทธิของตนที่ผูกยึดติดกับวิหารนี้ในแบบเผ่าของตนปนเปกัน หาได้สักการะพระเจ้าองค์เดียวไม่
เมื่อเดือน ซุลฮิจญะฮ์มาถึง อันเป็นเดือนแห่งการแสวงบุญ ท่านนบีได้เรียกร้องให้ผู้คนทั่วอารเบียให้ออกไปทำฮัจญ์กับท่าน เป็นเสียงที่ได้รับการตอบรับอย่างมากมาย จนอารเบียแทบจะสั่นสะเทือน ผู้คนจากท้องทุ่งทะเลทรายและหุบเขาทั่วคาบสมุทรแห่งนี้ต่างหลั่งไหลกันมา นครมะดีนะฮ์ กระโจมเต้นท์ถูกกางเพื่อรับคนจำนวนแสนรอบนครแห่งนี้ เป็นการแสดงความประจักษ์ในพลังแห่งอิสลาม ที่หยั่งรากลงไปทุกหนแห่งในอารเบียและละแวกใกล้เคียง การเป็นยอมรับพันธะ แห่งศรัทธาต่ออิสลามอย่างชัดเจน ว่า วันนี้ศาสนาอิสลามได้รวมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียว
ขบวนของท่านนบีได้เคลื่อนออกจาก นครมะดีนะฮ์ ก่อนถึงเดือนแสวงบุญ 15วัน ในปีที่10 แห่งศักราชอิสลาม ภรรยาของท่านทั้งหมดได้เดินทางมากับขบวนนี้ด้วย แต่ละคนต่างก็มีพาหนะของตนเอง ร่วมมากับขบวนผู้คน ราว แสนคน ทุกคนต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจและศรัทธาเต็มเปี่ยม เพื่อที่จะมาทำฮัจญ์และดูแบบที่ท่านนบีปฏิบัติ เพื่อยึดเป็นแบบอย่าง
เมื่อขบวนได้มาถึงตำบล ซุลหุลัยฟะฮ์ ขบวนได้ค้างคืนที่นั่น
รุ่งเช้า ท่านนบีได้อยู่ในชุดผ้าขาวสองผืน ที่ไม่ติดกัน อันเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ง่ายที่สุด ประชาชนต่างก็เปลี่ยนชุดตามแบบท่านนบี อันเป็นเครื่องนุ่งห่มที่เรียบง่ายที่สุด ทุกคนอยู่ในสภาพเท่าเทียมกันด้วยเครื่องนุ่งห่มเช่นนี้ ท่านนบีได้กล่าวคำวิงวอนต่อพระเจ้าว่า
“ขอรับใช้พระองค์ โอ้พระผู้เป็นเจ้า ขอรับใช้พระองค์ พระองค์ไม่มีผู้เทียบเทียม ขอรับใช้พระองค์ โอ้พระผู้เป็นเจ้า ขอสรรเสริญแด่พระองค์ ความขอบคุณมีแด่พระองค์ ขอรับใช้พระองค์ โอ้พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ทรงมีภาคี ขอรับใช้พระองค์ โอ้พระผู้เป็นเจ้า”
ขบวนผู้แสวงบุญต่างกล่าวตามท่าน ซ้ำๆตามท่าน เสียงของผู้คนนับแสนสะท้านสะเทือนไปทั่วทะเลทรายในขณะที่ขบวนแสวงบุญนี้เคลื่อนไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ขบวนได้หยุดพักตามมัสยิดรายทางทุกมัสยิดเพื่อทำ ละหมาด
เมื่อมาถึง ซารีฟ อันเป็นจุดที่เป็นกึ่งกลางการเดินทางระหว่างเมืองมักกะฮ์กับมะดีนะฮ์ ท่านได้กล่าวกับบรรดาสาวกว่า
“ ผู้ใดที่ไม่มีสัตว์ สำหรับทำกุรบ่าน (เชือดพลี)มาด้วย จะต้องทำฮัจญ์เล็ก ส่วนผู้ที่นำมาก็จะต้องทำพิธีฮัจญ์แบบเต็มรูปแบบ”
ในที่สุดขบวนก็เคลื่อนมาถึงวิหาร ในวันที่สี่ของเดือน ซุลฮิจญะฮ์ เดือนแห่งการทำฮัจญ์(แสวงบุญ) ท่านนบีได้รีบเดินไปที่วิหารกะบะฮ์ ผู้คนในขบวนก็ตามท่านไป ท่านเดินไปที่หินดำและจุมพิตหินนั้น จากจุดนั้นท่านได้เดินเวียนวิหารไปทางซ้ายเจ็ดรอบ โดยสามรอบแรกท่านเดินแบบช้าๆ เหมือนที่ท่านเคยเดินตอนทำฮัจญ์เล็ก และเดินเร็วขึ้นจนครบเจ็ดรอบท่านก็เดินมาที่ สักการะสถานของท่าน
นบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) (ซึ่งเป็นหินที่ท่านนบีอิบรอฮีมใช้ยืนก่อสร้างเมื่อตอนที่สร้างวิหารแห่งนี้)และท่านได้ละหมาด(นมาซ) แล้วท่านก็กลับมาที่หินดำ และจุมพิตก้อนหินนี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วท่านก็ออกจากบริเวณนั้น ไปที่ภูเขาศอฟา และเดินไป ยังภูเขามัรวะฮ์ และเดินกลับไปมา(เดินสะแอ-เป็นคำที่ใช้เรียกในพิธีกรรมนี้)บริเวณสองภูเขานั้น
แล้วท่านก็ประกาศว่า ผู้ใดที่มิได้นำสัตว์มาทำกุรบ่าน(เชือดพลี) ก็ควรจบพิธีการทำฮัจญ์ได้ ซึ่งถือว่าการทำฮัจญ์เล็ก(อุมเราะฮ์-เยี่ยมเยือน) ได้เสร็จสิ้นแล้ว แต่หลายคนที่มิได้เตรียมสัตว์มานั้น บางคนยังลังเลอยู่ ท่านนบีรู้สึกไม่พอใจจนต้องประกาศซ้ำอีกครั้ง
เมื่อท่านเข้ามายังกระโจม ร่องรอยความโกรธยังปรากฏอยู่บนใบหน้าของท่าน ท่านหญิง อาอีซะฮ์ ภรรยาที่ใกล้ชิดท่านได้ถามท่าน ถึงเหตุแห่งอาการโกรธนั้น ท่านได้ตอบว่า
“ฉันจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร เมื่อพวกเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งฉัน”
มีสหายบางคนมาหาท่านเมื่อรู้สาเหตุก็กล่าวเสริมว่า
“ผู้ใดก็ตามที่โกรธท่านศาสดา(เพราะห้ามมิให้พวกเขาทำพิธีต่อ) เขาย่อมได้ลิ้มรสของไฟนรก”
ท่านนบีได้กล่าวว่า
“มันไม่แปลกดอกหรือที่ฉันสั่งห้ามอะไรแก่พวกเขา แล้วพวกเขาอิดเอื้อนที่จะทำตาม? ถ้ามีการอนุญาตให้มาทำฮัจญ์ได้ โดยไม่ต้องมีสัตว์มาสำหรับทำกุรบ่าน ฉันเองก็จะพอใจที่จะทำฮัจญ์เล็กเหมือนกัน”
ในที่สุดข่าวว่าท่านนบีโกรธในเรื่องนี้ไปถึงหูผู้คน ผู้คนนับพันที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่กล่าวมาก็ยุติการทำฮัจญ์อย่างเสียใจ แม้แต่ภรรยาของท่านนบี รวมถึง ท่านหญิงฟาตีมะฮ์บุตรตรีของท่าน ที่ต้องยุติการทำฮัจญ์ในครั้งนี้ คงเหลือแต่เพียงผู้ที่เตรียมสัตว์มาด้วยเท่านั้น ที่ยังอยู่ในภาวการณ์ทำฮัจญ์ต่อไป
ในขณะนั้นท่านอาลี ทหารเอกของท่านนบีเสร็จสิ้นภารกิจในเยเมน(ยะมัน) ได้เดินทางกลับนครมะดีนะฮ์ แต่เมื่อผ่านเมืองมักกะฮ์ อันเป็นเมืองกึ่งกลางของเส้นทาง เมื่อรู้ว่าท่านนบีได้นำประชาชนมาทำฮัจญ์ ท่านอาลีก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาเป็นนุ่งห่มสีขาวด้วยผ้าสองชิ้นบ้าง สำหรับทำพิธี แต่เมื่อพบท่านหญิง ฟาติมะฮ์ ภรรยาของท่านซึ่งเป็นบุตรีของท่านนบี ได้เลิกทำฮัจญ์แล้ว และฟังคำอธิบายของนาง ท่านก็ได้เข้าไปรายงานเรื่องการสู้รบและภารกิจที่เยเมน ให้ท่านนบีทราบ ในชุดเตรียมพร้อมแสวงบุญ
เมื่อรายงานจบ ท่านนบี ขอให้เขาไปเวียนรอบวิหาร แล้วก็ให้ยุติการทำฮัจญ์เพียงแค่นั้น เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่มิได้มีสัตว์สำหรับทำกุรบ่าน ท่านอาลีกล่าวว่า
“โอ้ท่านศาสนทูตของพระเจ้า กระผมก็อ่านคำเช่นเดียวกับท่านเหมือนกันนะครับ”
ท่านนบีตอบว่า
“ถึงกระนั้นก็ตาม จงเลิกทำฮัจญ์เสียเช่นเดียวกับคนอื่นๆเถิด”
ท่านอาลีตอบว่า
“โอ้ท่านศาสนทูตแห่งพระเจ้า เมื่อกระผมตั้งเจตนาและเริ่มเข้าสู่ภาวการณ์ทำฮัจญ์นั้น กระผมได้กล่าวว่า “โอ้พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะทำพิธีฮัจญ์ ให้เหมือนกับท่านศาสดา ของข้า ผู้เป็นศาสนทูตของพระองค์”
ท่านนบีได้ถามว่าเขาเอาสัตว์ที่จะมาทำกุรบ่านด้วยหรือเปล่า ท่านอาลีปฏิเสธ ท่านนบีจึงได้มอบสัตว์บางตัวของท่านแก่เขา ด้วยเหตุนี้ท่านอาลีจึงยังครองภาวะผู้ทำฮัจญ์ต่อ และประกอบพิธีต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์ ตามแบบอย่างที่ท่านนบีจะได้ปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างต่อไป
www.oknation.net
islamhouse.muslimthaipost.com