ผู้ชายรักผู้ชาย ผู้หญิงรักผู้หญิง อิสลามห้าม รักเพศเดียวกัน ละเมิดคำสอนอิสลาม


38,908 ผู้ชม

ในยุคปัจจุบันนี้นั้นมีข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับบรรดา ผู้ชายรักผู้ชาย ผู้หญิงรักผู้หญิง ผู้ชายแปลงเพศ หรือการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ในการเป็นเพศ ที่ 3


          ในยุคปัจจุบันนี้นั้นมีข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับบรรดา ผู้ชายรักผู้ชาย ผู้หญิงรักผู้หญิง ผู้ชายแปลงเพศ หรือการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ในการเป็นเพศ ที่ 3 (ตามที่ศัพท์ชาวโลกเข้าใจ)  จึงสังเกตเห็นได้ว่ากรณีผู้ชายแต่งงานกับผู้ชายให้เห็นกันอยู่ตลอด ก่อนที่จะทำความเข้าใจถึงหลักคำสอนของอิสลามเกี่ยวกับในลักษณะเช่นนี้ คงจะต้องทำความเข้าใจกับความหมายของกลุ่มบุคคลที่เบี่ยงเบนทางเพศเสียก่อน
 

เกย์ หมายถึง ผู้ชาย ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ชาย แต่ชอบผู้ชาย

กะเทย หมายถึง ผู้ชาย ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้ชายหรือทอม 

ทอม หมายถึง ผู้หญิง ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ชาย และชอบผู้หญิงหรือกะเทย

ดี้ หมายถึง ผู้หญิง ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิง และชอบผู้หญิงหรือกะเทย 

เลสเบี้ยน หมายถึงผู้หญิงธรรมดาสองคนเปิดวงมโหรีขึ้น
 

(https://th.uncyclopedia.info/wiki/ความแตกต่างของคำว่า_เกย์_กระเทย_ทอม_ดี้)

การเบี่ยงเบนทางเพศในอดีต

          การเบี่ยงเบนทางเพศ ที่ได้สร้างความอัปยศทางจริยธรรมด้วยการสมสู่ผู้ชายด้วยกันนั้น มิได้เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นเพียงแค่ในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น แต่เหตุการณ์ในลักษณะการสมสู่ผู้ชายด้วยกันนั้น ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสมัยของนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม ในเมืองสะดูม ซึ่งขณะนั้นพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.)ทรงส่งท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม มาประกาศศาสนา โดยที่ท่านนบีลูฏ ได้เรียกร้องไปสู่การภักดีต่ออัลลอฮฺ และให้ระวังการลงโทษที่ยิ่งใหญ่จากอัลลอฮฺ  (ซ.บ.) เนื่องด้วยกับพฤติกรรมอันโสมมนี้ ที่ทำลายกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่พระองค์อัลลอฮ์  (ซ.บ.) ทรงสร้าง ผู้ชายคู่กับผู้หญิง
 

          แต่ปรากฏว่าการเรียกร้องและตักเตือนของนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม นั้นไร้ผล เมื่อกลุ่มชนชาวสะดูมไม่เลิกพฤติกรรมอันโสมมนี้ ดังที่พระองค์ อัลลอฮฺ  (ซ.บ.) ทรงเล่าเหตุการณ์ในอดีตว่า
 

“และจงรำลึกถึงลูฏ ขณะที่เขาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า

ท่านทั้งหลายจะประกอบสิ่งชั่วช้าน่า รังเกียจ ซึ่งไม่มีคนใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลายได้ประกอบมันมาก่อนพวกท่านกระนั้น ?

แท้จริง พวกท่านจะสมสู่เพศชายด้วยตัณหาราคะอื่นจากเพศหญิง ยิ่งกว่าพวกท่านยังเป็นพวกที่ละเมิดขอบเขตด้วย”

(อัลอะอฺรอฟ : 80-81)

“และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า พวกท่านกระทำการลามกทั้งๆ ที่พวกท่าน รู้เห็นอยู่กระนั้นหรือ ?

แท้จริง พวกท่านสมสู่พวกผู้ชายด้วยตัณหา แทนพวกผู้หญิงกระนั้นหรือ ? ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา”

(อันนัมลฺ : 54-55)

        ในเมื่อคำตักเตือนของนบีลูฏ ไม่สามารภทำให้ชาวเมืองสะดูมเชื่อฟังได้ และยังคงฝ่าฝืน อีกทั้งมีพฤติกรรมอันโสมมนี้ ดังนั้นสุดท้ายการลงโทษครั้งยิ่งใหญ่ของ อัลลอฮฺ  (ซ.บ.) ต่อชาวสะดูมก็มาถึง

“และเราได้ให้ฝน ตกลงมาบนพวกเขาแล้วเจ้า จงดูเถิดว่า ผลสุดท้ายของบรรดาผู้กระทำผิดนั้นเป็น อย่างไร?”

(อัลอะอฺรอฟ : 84)

“หมู่ชนของลูฏได้ปฏิเสธต่อการตักเตือน  แท้จริง เราได้ส่งพายุหินจากท้องฟ้าลงบนพวกเขา นอกจากวงศ์วานของลูฏ เราได้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นในยามรุ่งสาง”

(อัลกอมัร : 3-4)

การเบี่ยงเบนทางเพศในยุคปัจจุบัน

        ปัจจุบันแม้โลกจะเปลี่ยนไปจากสมัยนบีลูฏ กี่พัน กี่หมื่นปี (วัลลอฮุอะอฺลัม) แล้วก็ตาม แต่พฤติกรรมอันโสมมของชาวสะดูมนั้นยังไม่หมดไปจากโลก มิหนำซ้ำยังแพร่หลายไปทั่วโลก กลุ่มบุคคลเหล่านี้ประกาศตัวตนอย่าง ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น กระเทย เกย์ ทอม ดี้ ทั้งหลาย มีการจัดงาน แต่งงานระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย และที่น่าอดสู่ยิ่ง คือมีการจัดประกวดกระเทยสวย ให้เป็นที่ยอมรับของสังคม  ฉะนั้นจึงเริ่มเห็นการแสดงตนของ กลุ่มคนเหล่านี้ ออกมาเรื่อย ๆ

อิสลามกับการเบี่ยงเบนทางเพศ

    อิสลามห้ามมิให้มุสลิมมีพฤติกรรมการเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่ว่าจะเป็น กระเทย เกย์ ทอม ดี้ เป็นต้น เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการผิดธรรมชาติ ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงสร้างมนุษย์มา และเป็นการเปลี่ยนการสร้าง ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)  พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า

“โดยแน่นอนเราได้บังเกิดมนุษย์มาในรูปแบบที่สวยงามยิ่ง”

(อัตตีน : 4)

    บทเรียนในอดีตของกลุ่มชนชาวสะดูมในสมัยนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม ที่พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงแจ้งให้เราทราบนั้น น่าจะเป็นข้อเตือนใจที่ต้องจดจำ ที่ต้องระมัดระวัง มิให้พฤติกรรมอันโสมมเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกในสังคม ซึ่งท่านนบี (ซ.ล.) กลัวว่าอุมมะฮฺของท่านจะมีพฤติกรรมดังเช่นพฤติกรรมของชาวสะดูมในสมัยนบีลูฏ อะลัยฮิสลาม 

มีรายงานจากญาบิรฺ อิบนิ อับดิลลาฮฺ เล่าว่า ท่านร่อซูล (ซ.ล.)  กล่าวว่า

“อันที่จริงสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดว่าจะเกิดกับประชาชาติของฉัน คือการมีพฤติกรรมเสมือนกับกลุ่มชน ของนบีลูฏ”

(บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 2563 ติรมีซียฺ : 1457 เศาะเหี๊ยะหฺอิบนุมาญะฮฺอัลบานียฺ : 2093 เศาะเหี๊ยะหฺอัลญามิอ ฺอัลบานียฺ : 1552 เศาะเหี๊ยะหฺติรมีซียฺ : 1457)

          แต่ปรากฏว่าในสังคมมุสลิมปัจจุบัน ก็มีบุคคลที่ปฏิบัติตนเบี่ยงเบนทางเพศ ผู้ชายมีพฤติกรรมเลียนแบบผู้หญิงใน การพูด เดิน แต่งตัว แต่งหน้า ทาปาก เป็นต้น ซึ่งคนที่มีพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้ต้องเลิกโดยเด็ดขาด นอกจากจะมีพฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงสร้างมนุษย์มาแล้ว พวกเขายังเป็นกลุ่มคนที่ถูกอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และนบี (ซ.ล.)  สาปแช่ง และขับไล่อยู่ตลอด

 มีรายงานจากอิบนิ อับบาส เล่าว่า ท่านร่อซูล (ซ.ล.)  กล่าวว่า

“อัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชาย และผู้ชายที่ทำตัวเลียนแบบผู้หญิง”

(ดูมัญมัวอฺอัลฟะตาวาอิบนุตัยมียะฮฺ : 22/156 อัลญามิอุศเศาะฆีรอัซซุญูตียฺ : 7265 เศาะเหี๊ยะหุลญามิอฺอัลบานียฺ : 5100 มัญมัวอฺอันนะวาวียฺ : 4/469)

มีรายงานจากอิบนิ อับบาส เล่าว่า

“อันที่จริงท่านนบี (ซ.ล.)  ได้สาปแช่งผู้ชายที่เลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่เลียน แบบผู้ชาย และท่านได้กล่าว ต่อว่า 

พวกท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกเขา (บุคคลที่เลียนแบบเพศตรงข้าม)ให้ออกไปจากบ้านเรือนของพวกท่าน

และพวกท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกนั้น พวกนี้ หมายถึงบุคคล ที่เลียนแบบเพศตรงข้าม”

(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4930 เศาะเหี๊ยะหฺอบูดาวุดอัลบานียฺ : 4930)

     หะดีษข้างต้นชี้ให้เห็นว่าการที่ผู้ชายเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงเลียนแบบผู้ชายนั้น เป็นเรื่องที่ร้ายมาก ท่านนบี (ซ.ล.)  ได้สาปแช่งบุคคลเหล่านี้ ซึ่งการสาปแช่งของท่านนั้นหมายถึง ขอให้ห่างไกลจากความเมตตาและความพอพระทัยของพระองค์อัลลอฮ์และให้ขับไล่บุคคลประเภทนี้ออกจากบ้าน มิหนำซ้ำบุคคลเหล่านี้ยังไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของท่านนบี (ซ.ล.)  อีกด้วย

 มีรายงานจากอับดุลลอฮฺ อิบนิ อัมรฺ อิบนิ อาศ เล่าว่า ฉันได้ยิน ท่านร่อซูล (ซ.ล.)  กล่าวว่า

“ไม่ถือว่าเป็นประชาชาติของฉัน ผู้ชายที่ทำตัวเป็นผู้หญิง และผู้หญิงที่ทำตัวเป็นผู้ชาย”

(บันทึกโดยอะหฺมัด : 6836 อัลญามิอุศเศาะฆีรอัซซุญูตียฺ : 7678 เศาะเหี๊ยะหุลญามิอฺอัลบานียฺ : 5433)

มีรายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า

“ท่านร่อซูล (ซ.ล.)  ได้สาปแช่งผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแบบผู้หญิง และผู้หญิงที่สวม เสื้อผ้าแบบผู้ชาย”

(บันทึกโดยอบูดาวุด : 4098 เศาะเหี๊ยะหฺอบูดาวุด : 4098 มัญมัวอฺอันนะวาวียฺ : 4/469)

มีรายงานจากอบีซะอี๊ด อัลคุดรียฺ เล่าว่า อันที่จริงท่านร่อซูล (ซ.ล.)  กล่าวว่า

“ห้ามผู้ชายมองดูเอาเราะฮฺของผู้ชายด้วยกัน และก็ห้ามผู้หญิงมองดูเอาเราะฮฺของผู้หญิงด้วยกัน

และห้ามผู้ชายนอนเปลือยกาย ร่วมกับผู้ชายในผ้าห่มผืนเดียวกัน

และไม่อนุญาติให้ผู้หญิงนอนเปลือย กายร่วมกับผู้หญิงในผ้าห่มผืนเดียวกัน”

(บันทึกโดยมุสลิม : 338 ติรมีซียฺ : 2793 อะหฺมัด : 11207)

     อิสลามนั้นมิได้แค่เพียงห้ามเฉพาะมิให้ผู้ชายเลียนแบบผู้หญิง ผู้หญิงเลียนแบบผู้ชายหรือแม้กระทั่ง เป็นกะเทย เป็นเกย์ เท่านั้น แต่อิสลามป้องกันตั้งแต่ห้ามมิให้ผู้ชายสวมใส่เสื้อผ้าผู้หญิง หรือผู้หญิงสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชาย หรือแม้กระทั่งการมองอวัยวะพึงสงวนของเพศเดียวกันก็ตาม

     ฉะนั้น การเบี่ยงเบนทางเพศ หรือ การเลียนแบบเพศตรงข้าม อัลลอฮฺ (ซ.บ.)  ทรงสาปแช่งและประณาม  การกระทำของผู้เบี่ยงเบนทางเพศเช่นนั้นทำให้ความเป็นอยู่บนโลกนี้ไม่มีความจำเริญ และแน่นอนเหลือเกินว่าบรรดาผู้ศรัทธาจะต้องไม่เห็นดี เห็นงาม กับพฤติกรรมเหล่านี้เป็นอันขาด มิหนำซ้ำยังต้องแสดงความไม่ พอใจกับพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ กำลังเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)  เสมือนจะบอกว่าคนเหล่านี้ ไม่พอใจในการสร้างของอัลลอฮ์(ซ.บ.)

ที่มา: www.islammore.com

อัพเดทล่าสุด