สตรีสิบเอ็ดคนได้รับเกียรติให้เป็นศรีภรรยาของท่านศาสดามุฮัมมัด ที่เป็นมารดาในอิสลามของมุสลิมทั้งมวล มุสลิมจึงควรที่จะศึกษาชีวประวัติเพื่อเป็นเกียรติประวัติ....
บรรดาภรรยาท่านศาสดามุฮัมมัด
ประวัติพอสังเขปของบรรดาภรรยาท่านนบีมุฮัมมัด
นักมุหัดดิษีนและนักประวัติศาสตร์ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า สตรีสิบเอ็ดคนได้รับเกียรติให้เป็นศรีภรรยาของท่านศาสดามุฮัมมัด ที่เป็นมารดาในอิสลามของมุสลิมทั้งมวล มุสลิมจึงควรที่จะศึกษาชีวประวัติเพื่อเป็นเกียรติประวัติและเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตตามแบบฉบับภรรยาท่านศาสดามุฮัมมัด อันทรงเกียรติ
1. เคาะดีญะฮฺ บินติ คุวัยลิด (รอดิยัลลอฮุ อันฮา )
เป็นบุคคลแรกในหมู่พวกเขา ขณะที่เธอแต่งงานนั้นเธอมีอายุได้ 40 ปี ในขณะที่ท่านศาสดามุฮัมมัด มีอายุยี่สิบห้าปี เธอให้กำเนิดบุตรกับท่านทุกคน ยกเว้นบุตรชายคนหนึ่งชื่ออิบรอฮีม ในตอนแรกนั้น เธอถูกเสนอให้แต่งงานกับวาเราะเกาะฮฺ บินเนาฟัล แต่การสมรสนี้ไม่ได้เกิดขึ้น สามีคนแรกของเธอคือ อตีค บิน อีอ์ซ เธอได้บุตรสาวกับเขาคนหนึ่ง มีชื่อว่า ฮินด์ ฮินด์เติบโตขึ้นมาและเข้ารับอิสลามและเธอเป็นมารดาของเด็กอีกหลายคนเมื่ออตีคเสียชีวิตแล้วคอดียะฮ์ ได้สมรสกับอบู ฮาลาฮ์ และได้บุตรสองคนเขาทั้งสองคือ ฮินต์ และฮาละฮ์ ฮินต์มีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงยุคของท่านอาลีเป็นคอลีฟะฮ์ เมื่ออบู ฮาลาฮ์เสียชีวิตแล้วท่านศาสดามุฮัมมัด ได้สมรสกับเธอในฐานะภรรยาคนแรกของท่าน เธอเสียชีวิตในเดือนรอมฏอน ปีที่10 ของการเผยแผ่ รวมอายุได้หกสิบห้าปี ท่านมีความรักในตัวของนางมาก และไม่ได้สมรสกับหญิงอื่นอีกเลย ตลอดชีวิตของนางเธอถูกนิยมเรียกขานกันว่า ตอฮิเราะฮฺ (สะอาดและบริสุทธิ์) คุณธรรมและความพิเศษของเธอถูกล่าวไว้ในหะดิษอย่างมากมาย ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้วางเธอลงในหลุม
2. เซาดาฮ์ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา )
เซาดาฮ์ บินติ ซามาฮ์ บิน คิอส ได้สมรสมาก่อนกับลูกพี่ลูกน้องของนางชื่อ ซุคราน บิน อุมัร ทั้งคู่เข้ารับอิสลาม และอพยพไปอบิสเนีย ซุครานเสียชีวิตที่อบิสเนีย เซาดาฮ์ในฐานะแม่หม้ายจึงเดินทางกลับมามักกะฮท่านศาสดามุฮัมมัด เมื่อคอดียะฮ์ได้เสียชีวิตแล้วในเดือนเซาวาลในปีเดียวกันได้สมรสกกับเซาดาฮ์ บินติ ซามาฮ์ บิน คิอส เราได้ทราบถึงความมุ่งมั่นต่อการละหมาดของท่านศาสดามุฮัมมัด ) ครั้นหนึ่งเซาดาฮ์ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา )ได้ยืนขึ้นละหมาดข้างหลังท่านศาสดามุฮัมมัด วันต่อมาเธอกล่าวกับท่านศาสดามุฮัมมัด “โอ้ ท่าน ศาสนทูตของอัลลอฮ ”เมื่อคืนท่านใช้เวลาสุหยุดนานเหลือเกิน จนกระทั่งเลือดได้ไหลออกจากจมูกของฉัน
3. อาอิชะฮฺ บินติ อบู บักรฺ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา )
อาอิชะฮฺ บินติ อบู บักรฺ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา )เป็นบุตรีของอบู บักร อัศศิกดิก เธอสมรสกับท่านศาสดามุฮัมมัด ในเดือนเชาวาล ปีที่ 10 ของการเผยแผ่ เธอเกิดในปีที่สี่ของการเผยแผ่และสมรสกับท่านศาสดามุฮัมมัด เมื่ออายุ หกขวบและถูกส่งตัวโดยผู้ปกครองของเธอมาอยู่กับท่านศาสดามุฮัมมัด หลังจากการอพยพของท่านไปมาดีนะฮฺ ในขณะนั้นเธออายุได้ เก้าขวบและเธอมีอายุสิบแปดปีเมื่อศาสดาเสียชีวิต เธอเสียชีวิตในคืนวันอังคาร ตรงกับวันที่ 17 เดือนรอมฎอน ปี ฮ.ศ. 57 เมื่ออายุได้ 66 ปี เธอได้ตัดสินใจในวาระสุดท้ายของชีวิตว่าเธออยากให้ร่างของเธอไปฝังร่วมกับอุมมุลฮัทตุลมุอฺมินีนในสุสานสาธารณะ ถึงแม้ว่าเธอจะเลือกฝังอยู่ใกล้ๆกับสถานที่ฝังศพของท่านศาสดา ซึ่งเป็นบ้านเธอเองก็ย่อมได้ เธอเป็นภรรยาคนเดียวของท่านศาสดามุฮัมมัด ที่ไม่เคยสมรสมาก่อน
4. ฮัฟเซาะฮฺ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา)
ฮัฟเซาะฮฺ เป็นบุตรสาวของอุมัร (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) เธอถือกำเนิดในมักกะฮฺ ห้าปีก่อนการเผยแผ่ เธอได้สมรสครั้งแรกกับ คูนิอส บิน ฮุซาฟะฮฺ (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) เขาเป็นมุสลิมในยุคแรกต้นคนหนึ่งเขาอพยพไปอบิสสิเนีย และจากนั้นไปมะดีนะฮฺ และเข้าร่วมในสงคราม “บะดัร”เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักในสงครามบะดัรและเสียชีวิตเพราะบาดแผลนั้นในปีที่ 1หรือ 2 ของฮิจเราะฮฺ
ฮัฟเซาะฮฺ ได้อพยพไปมาดีนะฮฺพร้อมกับสามีของเธอด้วย เมื่อสามีของเธอตาย อุมัรจึงไปหาอบูบักร และกล่าวขึ้นว่า“ฉันต้องการยกฮัฟเซาะฮฺให้สมรสกับท่าน” อบูบักร เงียบและไม่ได้พูดว่าอะไร ในขณะนั้นรูก็อยยะฮฺ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา) บุตรสาวของท่านศาสดามุฮัมมัด ผู้เป็นภรรยาของอุสมาน (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) ได้เสียชีวิต อุมัรได้ไปหาอุสมาน (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) และเสนอยกฮัฟเซะฮฺให้สมรสกับเขา เขาปฏิเสธข้อเสนอ โดยกล่าวว่า “ฉันไม่มีกระจิตกระใจจะแต่งงานในขณะนี้ ”อุมัร (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) ได้นำเรื่องนี้ไปปรับทุกข์กับท่านศาสดา ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “ฉันจะบอกเจ้าให้ถึงสามีคนหนึ่ง สำหรับฮัฟเซาะฮฺที่ดีกว่าอุสมาน และภรรยาคนหนึ่งของอุสมานที่ดีกว่าฮัฟเซาะฮฺ ”ท่านจึงรับเอาฮัฟเซาะฮฺ ไว้เป็นภรรยาของท่านคนต่อไป และยกบุตรสาวของท่านอุมมุล กัลโซม(รอดิยัลลอฮุ อันฮา) ให้สมรสกับอุสมาน อบู บักรได้พูดกับอุมัร(รอดิยัลลอฮุ อันฮู) “เมื่อท่านเสนอยก ฮัฟเซาะฮฺให้กับฉัน ฉันปิดปากเงียบ เพราะท่านศาสดา มุฮัมมัด ได้แสดงความจำนนที่จะสมรสกับเธอ ฉันจึงไม่อาจยอมรับ หรือเปิดเผยความลับของท่านศาสดา มุฮัมมัด ให้ท่านทราบได้ ฉันจึงนิ่งเสีย ถ้าหากท่านศาสดา มุฮัมมัด เปลี่ยนใจของท่านฉันก็ยินดีที่จะสมรสกับเธอ”อุมัรกล่าวว่า(รอดิยัลลอฮุ อันฮู) กล่าวว่า “ความเงียบงันของท่านอบูบักร ต่อข้อเสนอนั้น ว่ากันตามความจริงแล้วมันน่าตกตะลึงมากกว่าการปฏิเสธของท่านอุสมานเสียอีก”ฮัฟเซาะฮฺ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา) เป็นผู้หญิงที่มีคุณธรรมสูง และได้มุ่งมั่นต่อการละหมาดอย่างมาก เธอจะถือศีลอดในเวลากลางวัน และใช้เวลาในตอนกลางคืนไปกับการยืนต่อหน้าอัลลอฮฺ
ครั้งหนึ่งท่านศาสดา มุฮัมมัด ด้วยเหตุบางประการบังเกิดความไม่พึงพอใจในตัวนางและถึงกับได้มีการประกาศการหย่านางครั้งแรกอุมัร (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) เมื่อได้ยินข่าวนี้ จึงบังเกิดความตะลึงงันเป็นธรรมดา ญิบรออีลได้มาหาท่านศาสดา มุฮัมมัด และกล่าวว่า “อัลลอฮฺ ต้องการให้ท่านฮัฟเซาะฮฺกลับมา เพราะเธอละหมาดอยู่ประจำ และใช้เวลากลางคืนไปกับการละหมาด และอัลลอฮฺทรงประสงค์เช่นกันเพื่อเห็นแก่อุมัร”ท่านศาสดามุฮัมมัด จึงนำเธอกลับมาเธอเสียชีวิตในเดือน ยะมาดี อูลา ปี ฮ.ศ. 45 เมื่ออายุได้ 63 ปี
5. ไซหนับ บินติ คุไซมะฮ์ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา)
ไซหนับ เป็นบุคคลต่อไปที่สมรสกับท่านศาสดามุฮัมมัด มีรายงานไว้ด้วยกันหลายกระแสเกี่ยวกับสามีคนก่อนๆของนาง ตามรายงานกระแสหนึ่ง นางได้สมรสเป็นครั้งแรกกับ อับดุลลอฮฺ บิน จาซ (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) ผู้ซึ่งถูกสังหารในสงครามอุฮุด ตามรายงายอีกกระแสหนึ่ง นางสมรสเป็นครั้งแรกกับตุเฟล บิน อัลฮะริท และได้หย่ากับเขาแล้ว นางได้สมรสใหม่กับน้องชายของเขาชื่อ อุไมดะฮฺ บิน อัลฮะริท ต่อมาเขาได้ถูกสังหารในสงคราม บะดัร ท่านศาสดามุฮัมมัด ได้สมรสกับนางในเดือนรอมฏอน ฮ.ศ.3 นางได้อยู่อาศัยกับท่านศาสดามุฮัมมัด เป็นระยะเวลาเพียงแปดเดือนเท่านั้น และนางก็ได้เสียชีวิตในเดือน รอบิอุ้ล อคิร ฮ.ศ. 4 ไซนับ และคอดีเญาะฮฺ เป็นภรรยาเพียงสองคนของท่านศาสดามุฮัมมัด ที่เสียชีวิตขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นอกนั้นแล้วได้มีชีวิตอยู่หลังจากท่าน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ไซหนับเป็นผู้ที่ใช้จ่ายเงินทองให้กับยากจนอย่างไม่อั้น จนเป็นที่รู้จักกันในนาม “อุมมุ้ล มะซากีน” (มารดาแห่งผู้ยากไร้) ก่อนการมาของอิสลามเสียอีก ภายหลังจากที่นางเสียชีวิตแล้ว ท่านศาสดาได้สมรสกับอุมม ซัลมาฮ์
6. อุมม ซัลมาฮ์ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา)
นางเป็นบุตรสาวของอบู อุไมยะฮ์ นางได้สมรสกับลูกพี่ลูกน้องของนางชื่อ อับดุลลลอฮฺ บิน อับดิล อส๊าด ซึ่งรู้จักกันในนาม อบู ซัลมาฮ์ (รอดิยัลลอฮุ อันฮู) ทั้งคู่ได้รับเข้าอิสลามตั้งแต่ยุคแรกและได้อพยพไปอบิสสิเนีย เนื่องจากการถูกจองล้างจองผลาญของพวกกุเรช ทั้งคู่ได้บุตรชายคนหนึ่ง โดยในสงคราม บะดัร และอุฮุด เขาได้รับบาดเจ็บฉกรรจ์ ซึ่งรักษาไม่หายมานานปี เขาได้ถูกท่านศาสดามุฮัมมัด ส่งตัวไปในการศึกในเดือน ซอฟัร ปี ฮ.ศ. ที่ 4 เมื่อเขามาจากศึกสงครามแผลเก่าของเขาก็กำเริบขึ้น จนกระทั้งเขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้ ในวันที่ 8 ญามาดิ้ล อคิร ฮ.ศ. ที่ 4 อุมม ซัลมาฮ์กำลังตั้งครรภ์อยู่ในขณะนั้น ไซหนับบุตรหญิงได้ถือกำเนิดจากนาง ภายหลังสามีของนางได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากนางพ้นเวลาอิดดะฮฺของนางไปแล้ว อบูบักร ได้เสนอที่จะขอสมรสกับนางแต่นางไม่ตอบรับ ต่อมาท่านศาสดามุฮัมมัด ประสงค์ที่จะสมรสกับนาง นางกล่าวว่า “โอ้ ท่านศาสทูตแห่งอัลลอฮฺ ฉันมีบุตรอยู่ด้วยกันหลายคนและฉันมักอารมณ์เสียอยู่บ่อยๆกับพวกเขายิ่งกว่านั้นผู้คนของฉันอยู่ในมักกะฮฺ และการขออนุญาตทำการสมรสจากพวกเขาก็ถือเป็นเรื่องจำเป็น”
ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงดูแลลูกๆของเจ้าเอง และพระองค์จะทรงแก้ไขความอ่อนไหวของเจ้าเองที่มีต่อลูกๆของเจ้า ไม่มีผู้คนของเจ้าคนใดหรอกที่จะไม่ชอบการเสนอขอสมรสในครั้งนี้”
นางจึงขอให้บุตรชายของนางชื่อ ซัลมาฮ์ ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของนาง และยกนางให้สมรสกับท่านศาสดามุฮัมมัด นางได้ทำการสมรสปลายเดือน เชาวาล ฮ.ศ. ที่ 4 นางได้กล่าวว่า ฉันยินมาจากท่านศาสดามุฮัมมัด ว่า เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยพิบัติสักอย่างหนึ่ง เขาควรวิงวอน ดังต่อไปนี้“โอ้ อัลลอฮฺ โปรดทดแทนการเสียอันนี้ ให้กับฉันด้วยการประทานสิ่งที่ดีกว่าที่ฉันสูญเสียไป จนกว่าอัลลอฮฺ จะตอบรับคำวิงวอนของเขา” ฉันได้อ่านคำวิงวอนบทนี้นับแต่การเสียชีวิตของอบู ซัลมาฮ์ แต่ฉันก็ยังไม่เห็นสามีสักคนหนึ่งที่ดีไปกว่าเขา จนกระทั่งอัลลอฮฺได้ทรงจัดการสมรสของฉันให้กับท่านศาสดามุฮัมมัด
อาอิชะฮ์ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา) กล่าวว่า “อุมม ซัลมาฮ์มีชื่อเสียงในความสวยงามของนาง ครั้งหนึ่งฉันได้ไปหานาง ฉันพบว่านางสวยกว่าที่ฉันเคยได้ยินเสียอีก ฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้ ฮัฟเซาะฮฺฟัง เขากล่าวว่า ในทัศนะของฉันเขาไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาได้พูดกัน”
นางเป็นภรรยาคนสุดท้ายของท่านศาสดาที่เสียชีวิต ซึ่งอยู่ในราว ฮ.ศ. ที่ 59 หรือ 62 นางมีอายุได้ 84 ปี ในวันที่เสียชีวิตและเมื่อเป็นดังนั้นนางก็ได้กำเนิดมาประมาณ 9 ปี ก่อนการได้รับแต่งตั้งเป็นนบี
ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ท่านศาสดาได้สมรสกับนางหลังจากที่ไซหนับ บินติ คุไซมะห์ เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงเข้าไปอยู่ในบ้านของไซหนับ นางพบโม่บดแป้งหนึ่งอัน การน้ำหนึ่งใบ และข้าวบาร์เลย์อีกเล็กน้อย ในหม้อดิน วางอยู่ในบ้านนั้น เธอได้บดแป้งข้าวบาร์เลย์ และได้ใส่ไขมันลงไปเพื่อเตรียมการทำอาหาร ซึ่งนางได้นำไปให้ท่านศาสดามุฮัมมัด รับประทานในวันเริ่มแรกของการสมรสของนางกับท่านศาสดา
7. ไซหนับ บินติ จาฮัซ (รอดิยัลลอฮุ อันฮา)
เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านศาสดา (นางถูกยกโดยท่านศาสดาให้สมรสเป็นครั้งแรกกับบุตรบุญธรรมของท่านคือ เซด บิน ทาริท เมื่อเซดได้หย่ากับนางแล้ว นางได้สมรสกับท่านศาสดาโดยอัลลอฮฺ ดังที่ได้กล่าวไว้ในซูเราะห์ อัลอะฮฺซาบเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน ฮ.ศ.5 ในขณะนั้นนางมีอายุได้สามสิบห้าปี ดังนั้นนางจึงถือกำเนิดในปีที่ 17 ก่อนการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี นางรู้สึกภูมิใจอยู่เสมอในความจริงที่ว่าในขณะที่ภรรยาคนอื่นๆ ถูกยกให้สมรสกับท่านศาสดา โดยผู้ปกครองของเขา แต่อัลลอฮฺเองเป็นผู้ทรงจัดการเรื่องนี้ให้กับนาง เมื่อเซดได้หย่าร้างกับนางแล้ว และเมื่อนางได้อยู่จนครบอิดดัตของนางแล้ว ท่านศาสดามุฮัมมัด จึงได้ทำการสู่ขอนาง นางกล่าวว่า “ฉันยังพูดอะไรไม่ได้ดอก จนกว่าฉันจะได้ปรึกษากับอัลลอฮฺของฉันก่อน” นางได้อาบน้ำละหมาด ละหมาดสองรอกาอัต และจึงวิงวอนต่ออัลลอฮฺ “โอ้ อัลลอฮฺ ศาสดาของพระองค์เสนอที่จะสมรสกับฉัน ถ้าหากฉันเหมาะสมในเกียรตินี้ ก็ขอให้ฉันได้สมรสกับท่านเถิด” อัลลอฮ์ ได้ตอบรับคำวิงวอนของนาง ด้วยกับการลงโองการดังต่อไปนี้กับท่านศาสดามุฮัมมัด
ที่มา: นูรฮายาตี สะอิ