วันคริสต์มาส ทำไมมุสลิมจึงทำไม่ได้ เพราะ?


8,116 ผู้ชม

วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของศาสนาคริสต์ เป็นวันเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงวันประสูติของพระเยซู คริสตศาสนิกชนทุกนิกายจัดพิธีนี้มาจนเป็นประเพณีนิสัยสืบมาจนทุกวันนี้


วันคริสต์มาส ทำไมมุสลิมจึงทำไม่ได้ เพราะ? 

วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของศาสนาคริสต์ เป็นวันเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงวันประสูติของพระเยซู คริสตศาสนิกชนทุกนิกายจัดพิธีนี้มาจนเป็นประเพณีนิสัยสืบมาจนทุกวันนี้

ความเป็นมาของวันคริสต์มาส

ก. วันคริสต์มาสหรือวันคริสตสมภพ คือ วันที่พระเยซูลงมาบังเกิดลงมาในโลกมนุษย์เมื่อประมาณ 4 ปี ก่อนคริสตศักราชเพื่อมา ไถ่บาปของมนุษย์ทุกคนที่กระทำบาป บิดาคือโจเซฟ มารดาคือมาเรีย สถานที่ประสูตรคือเมืองเบธเลเฮม ประเทศอิสราเอล คริสเตีอนถือว่าวันนี้เป็น วันที่สำคัญมากโดยถือ ว่าวันที่ 24 ธันวาคมเป็นวันคริสต์มาสอีส ซึ่งมาจาก Chrismas Evening และ 25 ธันวาคมคือวันคริสต์มาส

การฉลองคริสต์มาสได้เริ่มได้เริ่มมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ทั้งที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า พระเยซูประสูติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม คงมีแต่พระคัมภีร์ที่ระบุว่า พระองค์ที่ตำบลเบธเลเฮม กรุงเยรูซาเล็ม (ปัจจุบันคือ บัยต์ลัหม์ อัลกุดส์ ของปาเลสไตน์) ต่อมาคริสต์ศาสนาได้แพร่หลายเข้าสู่ยุโรป มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมเชื่อว่าได้มีการผสมผสาน วัฒนาธรรมทางโลก และทางศาสนาเข้าด้วยกันคือ ชาวโรมันนับถือ เจ้าและกำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เพราะถือว่า วันดังกล่าวเป็นวันที่เริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนฤดู คือมีช่วงกลางวันยาวกว่ากลางคืน สันนิฐานว่า ศาสนจักรสมัยนั้นคงต้องการให้คำสั่งสอนของพระเยซูที่ว่า “เราเป็นแสง สว่างแห่งโลก ผู้ที่เดินตามเรามาจะไม่เดินในที่มืด” เข้าไปมีความสอดคล้องกับประเพณีโรมัน จึงถือเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันประสูติของพระเยซู เพราะพระเยซูคริสต์ลงมาประสูติในวันคริสต์มาส เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากการตกเป็นทาสของบาปคืนเอกราชให้แก่ มนุษย์นี้คือเหตุที่คริสเตียนทั่วโลก ทุกชาติทุกภาษา ต่างเฉลิมฉลองรื่นเริงกันในวันคริสต์มาสเพราะวันนี้ไม่ใช่วันตรุษฝรั่ง แต่เป็น “วันเฉลิมฉลองความเป็นไทจาก ความบาปถ้าท่านเชื่ออย่างที่เข้าเชื่อท่านก็มีสิทธิ์ฉลองอย่างเขาได้เช่นกัน” ไม่เพียงคริสเตียนเท่านั้น เทศการคริสต์มาสยังเป็นเทศกาลสื่อแห่งสื่อ แห่งความสุขให้กับคนทั่วโลก

วันคริสต์มาส ทำไมมุสลิมจึงทำไม่ได้ เพราะ?

ข. วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของศาสนาคริสต์เป็นวันเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงวันประสูติของพระเยซู คริสตศาสนิกชนทุกนิกายนิยามใช้พิธีนี้มาจนเป็นประเพณีนิสัยสืบมาจนทุกวันนี้ พิธีฉลองวันประสูติของพระเยซูเริ่มมีขึ้นครั้งแรกที่กรุงโรมในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 สันนิฐฐานว่า คงจะได้เคล้ามาจากเทศกาล Saturnalia ชาวโรมันซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 17-24 ธันวาคม โดยมีการรื่นเริงแลกเปลี่ยนของขวัญกันของ พวกที่นับถือลัทธิ Pagan (One who doesn't be Christian in the Roman Empire) พิธีกรรมเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 24:00 น. ของคืนวันที่ 24 ธันวาคมชาวคริสต์พากันไปตามประตูบ้านต่างๆร้องเพลงอวยพรในนาม พระเจ้า Sorenade ให้ทุกคนจงมีความสุขความเจริญด้วยอำนาจพระเมตตาพระเจ้า เสร็จแล้วก็เป็นธรรมเนียมที่เจ้าของบ้าน และสมาชิกออกมาแสดงความขอบคุณ แก่ศาสนทูต ที่นำพระพรจากพระเจ้ามาให้ถึงบ้าน และจะให้ของขวัญเป็นการตอบแทนเช่น ขนม ผลไม้ อาหารว่างเครื่องดื่ม เป็นต้นในเทศกาลนี้ทุกบ้านจะประดับ ประดา ด้วยต้นไม้สีเขียวและแสงไฟ ส่วนมากเป็นต้นคริสต์มาสแขวนด้วนของขวัญสำหรับคนในครอบครัว ต้นคริสต์มาสนับว่าเป็นหัวใจของงานคริสต์มาสที่บ้าน

ค. วันคริสต์มาสหรือวันคริสตสมภพ ทั่วโลกจะฉลองวันนี้พร้อมกันคือวันที่ 25 ธันวาคม ทุกคนรู้ว่าวันนี้เป็นวันคริสต์มาส เพราะคริสตจักรได้ยึดถือวันนี้มาแล้วกว่า 1,500ปี ไม่มีใครสงสัยหรือแม้แต่จะถามว่าพระเยซูประสูติวันนี้ตรงเผงหรือเปล่า ทั่วโลกมั่นใจเช่นนั้นถึงกับว่าบางท่าน ที่มีความรู้ทางโชคชะตาราศีได้อาศัยเอาวันประสูติของพระเยซู คือวันที่ 25 ธันวาคมไปผูกดวงก็มี แท้จริงแล้ววันที่ 25 ธันวาคมที่เราถือว่าเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น เป็นเพียงการสมมุติขึ้นมาภายหลังเพราะเมื่อพระเยซู ประสูตินั้นไม่มีผู้ใดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันประสูติของพระองค์ไว้ จริงอยู่ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของพวกโรมัน บ้านเบธเลเฮมยังปรากฎอยู่จนทุกวันนี้

ชี้แจงความเป็นมาของวันคริสต์มาส

 ประการที่หนึ่ง หลักการของศาสนาอิสลาม มิได้กำหนดให้มุสลิมจัดงานวันเกิดให้แก่ตัวเอง หรือจัดให้แก่บุคคลอื่นแม้กระทั่งการจัดงานวันเกิด ให้แก่นบีมุฮัมมัด   แล้วสำมะหาอะไรกับการเฉลิมฉลองของพระเยซูคริสต์ ถึงแม้ว่าหลักการของอิสลามเชื่อว่าท่านนบีอีซา (เยซูคริสต์) เป็นศาสดาท่านหนึ่งในศาสนาอิสลามก็ตาม ท่านนบีมูฮัมมัด  ได้กล่าวสำทับไว้ว่า “พวกท่านจงอย่าเลียนแบบยะฮูดีย์ (ยิว) และชาวนัศรอนีย์ (คริสเตียน)” ส่วนการกระทำของชาวยิวหรือชาวคริสเตียน ที่ท่านนบี  อนุมัติให้ปฏิบัติตามเช่นนั้น จึงอนุญาติให้ปฏิบัติตามได้อย่างเช่นการ ถือศีลอดของชาวยิวที่ถือศิลอดในวันที่ 10 มุหัรรอม ครั้งหนึ่งท่านนบีมูฮัมมัด  เดินทางกลับสู่เมืองมะดีนะฮฺ ท่านนบี  ก็พบว่าพวกยิวกำลังถือศีลอดอยู่ ท่านบี  จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกท่านถือศีลอดอะไรกัน?” พวกเขาตอบว่า “วันนี้ (หมายถึงวันที่ 10 มุหัรรอม) พระองค์อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือนบีมูซา (โมเสส) ในวันดังกล่าว ส่วนฟิรเอาน์จมน้ำ สิ้นชีวิต (ในวันนั้นด้วย) ดังนั้น ท่านนบีมูซาจึงถือศีลอดในวันดังกล่าวเพื่อขอบคุณ (ต่อพระองค์อัลลอฮฺ)” ท่านนบีมุฮัมมัด  จึงกล่าวขึ้นว่า “เรามีสิทธิต่อท่านนบีมูซามาก กว่าพวกท่าน” ท่านนบีมุฮัมมัด  จึงกำชับให้มุสลิมถือศีลอดในวันนั้น ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมมัด  จึงมิได้สั่งกำชับให้บรรดามุสลิมร่วมเฉลิมฉลองในวันคริสต์มาส พร้อมๆกับผู้นับถือศาสนาคริสต์เตียน

ประการที่สอง พระเยซูคริสต์ลงมาประสูติในวันคริสต์มาส เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสของบาป คืนเอก ราชให้แก่มนุษย์ เช่นนั้น หากมุสลิมคนได้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในวันดังกล่าว ก็แสดงว่ามีความเชื่อเฉกเช่น ผู้นับถือศาสนาคริสต์ที่เชื่อว่า วันคริสต์มาสจะได้รับความเป็นไทจากบาป ดังข้อความที่ถูกเขียนไว้ว่า “วันเฉลิม ฉลองความเป็นไทจากความบาป ถ้าท่านเชื่ออย่างที่เขาเชื่อ ท่านก็มีสิทธิ์ฉลองได้อย่างเขาเช่นกัน” ซึ่งมุสลิมจะ เชื่อเช่นนั้นไม่ได้ เพราะไม่ใช่บทบัญญัติของคำภีร์อัลกุรอานและแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด  ที่สั่งใช้ให้กระทำ เช่นนั้น ดังกล่าวจึงไม่อนุมัติให้มุสลิมร่วมกิจกรรม หรือมีส่วนร่วมเฉลิมฉลองในวันครสต์มาสเฉกเช่นผู้ที่นับถือ ศาสนาคริสต์เตียน ส่วนความเชื่อที่ว่านบีอีซา (พระเยซูคริสต์) จะลงมาในโลกนี้อีกครั่งหนึ่งในช่วงใกล้ๆวันสิ้น โลกนั้นเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง เพราะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนจากท่านนบีมุหัมมัด  ที่กล่าวไว้ว่า “ฉันขอสาบาน ต่อพระองค์อัลลอฮฺแน่นอน บุตรของนางมัรฺยัม (หมายถึงนบีอีซา) จะลงมา (ยังโลกอีกครั้งหนึ่ง) เป็นผู้ตัดสินที่มี ความยุติธรรม”

วันคริสต์มาส ทำไมมุสลิมจึงทำไม่ได้ เพราะ?

กิจกรรมในวันคริสต์มาส

1.      การไปโบสถ์

2.      การไปรับประทานอาหารร่วมกัน

3.      การอวยพร และส่งบัตรอวยพร

4.      การแลกเปลี่ยนของขวัญ

ประเด็นชี้แจงเรื่องกิจกรรมในวันคริสต์มาส

ท่านนบี  ได้กล่าวว่า “บุคคลใดที่เลียนแบบคนกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย” เช่นนั้นมุสลิมจึงต้องละทิ้งการ จัดกิจกรรมข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดให้มีการเลี้ยง การแลกเปลี่ยนของขวัญ หรือการส่งบัตรอวยพรในวันคริสต์มาส เพราะนั้นเป็นการเลียนแบบพวกนัศรอนีย์ (คริสเตียน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนของขวัญโดยเป็นประเพณีของพวนที่นับถือลัทธิ Pagen (เพแก็น คือ พวกนอกศาสนา) อีกต่างหาก

สรุปแนวทางในการดำเนินชีวิตของมุสลิมกับคริสต์มาส

จากรายละเอียดของวันคริสต์มาสที่กล่าวมาทั้งหมด พอที่จะสรุปให้เป็นบทเรียนและแนวทางในการดำเนินชีวิตของมุสลิม ได้ดังนี้

1.      มุสลิมคนใดที่รักการปฏิบัติตามแนวทางของท่านนบีมุฮัมมัด  ประการหนึ่งว่าเขารักท่านนบี   ท่าน นบีมุหัมมัด  ได้กล่าวว่า “และบุคคลใดก็ตามที่รัก (การปฏิบัติตาม) แนวทางของฉัน แน่นอนยิ่ง เขาผู้นั้นรักฉัน แน่นอนเขาจะอยู่ร่วมกับฉันในสวรรค์” จากวจนะของ ท่านนบีมุฮัมมัด  ที่ชี้ให้เห็นว่า มุสลิมจำเป็นต้องนำแบบอย่างของท่านนบี  มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะการนำแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด  มาปฏิบัติถือว่ามุสลิม ผู้นั้นรักท่านนบี  และรักที่จะอยู่ร่วมกันท่านนบี  ในสวรรค์ อีกนัยหนึ่งของตัวบทข้างต้นบ่งชี้ว่าให้มุสลิมละทิ้งการปฏิบัติตามแนวทางของลัทธิอื่น หรือตามแนวทาง ของศาสนาอื่นที่มีปรากฏให้เห็นในทุกยุคทุกสมัยอย่างเด็ดขาด

2.      มุสลิมจะต้องไม่ทำลายบทบาทของตนเองด้วยการดำเดินชีวิตเยี่ยงชาวยะฮูดีย์และนัศรอนีย์ ท่านนบีมุฮัมมัด  ได้กล่าวไว้ว่า “แน่นอนยิ่ง พวกท่านจะต้องปฏิบัติตามแนวทางบรรดาพวกที่อยู่ก่อนหน้าพวกท่านชนิดคืบตามคืบ ศอกตามศอก จนกระทั่งพวกเขา ลงไปอยู่ในรูแย้ แน่นอน พวกท่านก็จะตามเขาลงรูแย้ด้วยพวกเรากล่าวถามว่า โอ้ ท่านศาสดาของอัลลอฮฺ ท่านหมายถึงพวกยะฮูดีย์และนัสรอนีย์ใช่ไหม ท่านนบี  กล่าว ตอบว่า ถ้าไม่ใช่กลุ่มชนนั้น แล้วจะเป็นพวกไหนหละ” จากวจนะของท่านนบี  ข้างต้นบอกให้มุสลิมรู้ว่า อย่างไรก็ตาม มุสลิมบางคนจะต้องปฏิบัติตามแนวทาง ของพวกยะฮูดีย์และนัสรอนีย์อย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น มุสลิมจะต้องไม่ยอมลงบทบาทของความเป็นมุสลิม ด้วยการไปนำแนวทางของกลุ่มชนดังกล่าวมาปฏิบัติ แทนการปฏิบัติตามแนวทางของอิสลาม มุสลิมจะต้องมีจุดยืนและอุดมการณ์ของตัวเองอย่างแน่วแน่

3.      ใกล้ๆ วันสิ้นโลก มุสลิมจะคงเหลือไว้เพียงชื่อเท่านั้น ท่านนบีมุฮัมมัด  กล่าวว่า “ใกล้แล้วที่ยุคหนึ่ง (คือวันสิ้นโลก) จะมาถึงมนุษย์ (ซึ่ง) อิสลามจะไม่เหลือไว้ (สำหรับบุคคลหนึ่ง) เว้นแต่ชื่อเท่านั้น” ท่านนบี  ได้กล่าวไว้ว่า สภาพวันสิ้นโลกมุสลิมจะเหลือไว้เพียง แค่ชื่อเท่านั้น แต่ความเป็นอิสลามจะไม่เหลืออยู่ นั้นก็หมายความว่า ผู้คนทั่วไปรู้จักมุสลิมเนื่องจากว่าเขามีชื่อเป็นมุสลิม แต่พฤติกรรมของเขามิได้นำแบบอย่างของอัล อิสลามมาปฏิบัติแม้แต่น้อย ยิ่งในยุคปัจจุบัน ภาพแห่งคำกล่าวของท่านนบี  ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันคริสต์มาส มุสลิมก็จัดงานคริสต์มาสกับเขาด้วย ครั้นพอถึง วันปีใหม่มุสลิมก็ร่วมงานปีใหม่กับเขาด้วยเมื่อถึงวันสงกรานต์ มุสลิมก็สาดน้ำกับเขาด้วย และเมื่อถึงวันลอยกระทง มุสลิมก็ไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการลอยกระทงกับเขาด้วย นี่คือสภาพที่เป็นจริงของมุสลิมในปัจจุบัน ยิ่งมุสลิมเลียนแบบชุนกลุ่มอื่นมากเท่าใดความตกต่ำของมุสลิมก็เพิ่มทวีคูณมากเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มุสลิมจะต้องมีจุดยืน อย่างมั่นคงและแน่วแน่ ทามกลางสังคมโลกที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ลัทธิและศาสนา ไม่ว่าสังคมจะมีสภาพใดก็ตาม มุสลิมจะต้องแสดงบทบาท แห่งการเป็นมุสลิมให้ประจักษ์ และแสดงบทบาท แห่งการเป็นประชาชาติที่ดีเลิศให้ได้อย่างที่พระองค์อัลลอฮฺทรงมอบหมายให้เป็นตัวแทนของพระองค์บนโลกดุนยานี้ และให้มุสลิมคิดอยู่เสมอว่า ตราบใดที่มุสลิมละทิ้งแนวทางแห่งอิสลาม ตราบนั้นคือความต่ำต้อยยิ่งสำหรับมุสลิม ดังที่ท่านอุมัรบุตรของค็อฏฏ็อบได้กล่าวว่า

“อันที่จริง พวกเราเคยเป็นกลุ่มชนที่ต่ำต้อย จากนั้นพระองค์อัลลอฮฺทรงให้เกรียติพวกเราด้วยอิสลาม ดังนั้น มาตรว่าพวกเราแสวงหาความมีเกรียติอื่นจากที่พระองค์อัลลอฮฺทรงให้ แล้วไซร้พระองค์อัลลอฮฺจะทรงทำให้พวกเราต่ำต้อยและตกต่ำที่สุด”

คัดลอกจากหนังสือ “ทำไมมุสลิมจึงทำไม่ได้”

ของ อ.มุรีด ทิมะเสน

https://islamhouse.muslimthaipost.com/article/21586

บทความที่น่าสนใจ

อัพเดทล่าสุด