เรื่องราวของเจ้าแห่งโจรสลัดหญิงที่ชื่อ ฮาคีมัด แห่งเตตูอัน ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือของประเทศโมร็อกโค นางเป็นผู้ครองเมืองดังกล่าวและได้ประกอบวีรกรรมอย่างห้าวหาญ ...
ฮาคีมัค ราชินีโจรสลัดจีฮัด
เรื่องราวของเจ้าแห่งโจรสลัดหญิงที่ชื่อ ฮาคีมัด แห่งเตตูอัน ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือของประเทศโมร็อกโค นางเป็นผู้ครองเมืองดังกล่าวและได้ประกอบวีรกรรมอย่างห้าวหาญ นำเหล่าโจรสลัดลูกน้องบุกปล้นเรือขนสมบัติของพวกสเปนเป็นว่าเล่นแถมยังประกาศทำจีฮัด (สงครามศาสนา) กับกองเรือของพวกคริสเตียน
ถ้อยคำที่ว่า “หญิงมุสลิม” ได้กระตุ้นภาพลักษณ์ที่หลากหลายในทุกวันนี้ ภาพลักษณ์หนึ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก นั่นก็คือ ผู้หญิงที่มีความงาม ผู้ซึ่งมีกษัตริย์โมร็อกโคอยู่ในอุ้งมือของเธอ และยังควบคุมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกด้วยกองเรือรบ และต่อมาในปี ค.ศ.1515 ฮาคีมัด ได้กลายมาเป็นราชินีมุสลิมคนสุดท้าย
ฮาคีมัด ตัตวาน เธอเกิดประมาณปี คศ.1485 ในครอบครัวมุสลิมที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรกรานาดา (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสเปนในปัจจุบัน) ในช่วงต้นของวัยเด็กเธอมีแต่ความสุข แต่ในปี คศ.1492 ปี ชีวิตของ ฮาคีมัด ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อกองทัพของราชินีอิซาเบล แห่งกัสติยา และ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่ง อารากอน ได้โจมตีและพิชิตอาณาจักรกรานาดา ในปี ค.ศ. 1492 (คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 1469-1714 กองทัพสเปนได้เข่นฆ่าชาวมุสลิมมากกว่า 100,000 คน และ 20,000 ถูกเนรเทศออกจากสเปน)
ในหมู่ผู้ลี้ภัยมี ฮาคีมัด และครอบครัวของเธอรวมอยู่ด้วย
ฮาคีมัด ไม่เคยลืมความคับแค้นใจของการถูกบังคับให้หนีออกจากบ้านของเธอและเธอสาบานว่าจะแก้แค้นศัตรู คริสเตียนด้วยน้ำมือเธอเอง
23 ปีให้หลัง...เธอและครอบครัวได้มาอาศัยอยู่ที่เมือง Chaouen (ปัจจุบันอยู่ในโมร็อกโค) ฮาคีมัดได้แต่งงานกับชายคนหนึ่งชื่อ Abu al-Hasan al-Mandri ซึ่งเป็นผู้ชายที่มีอายุมากกว่าเธอหลายปี
Al-Mandri อดียเป็นผู้ลี้ภัยคนสำคัญจาก อันดาลูซิอา ที่อาศัยและปกครองเมืองเตตูอัน
แม้ว่าจะมีวัยที่แตกต่างกัน แต่ดูเหมือนว่าสามีของเธอจะให้ความเคารพในความคิดและสติปัญญาของของ ฮาคีมัด เป็นอย่างมากและเธอยังมีบทบาทในการปกครองเปรียบเสมือนเจ้าเมืองอีกคนหนึ่ง ตามบันทึกของ Fatima Mernissi ใน The Forgotten Queens of Islam
ทั้งสองเคียงบ่าเคียงไหล่กันในการปกครองเมืองภายใต้ความเกลียดชังของพวกเขาต่อพวกสเปนและโปรตุเกส al-Mandris ร่วมกันบูรณะ เมืองเตตูอัน ซึ่งถูกทำลายในปี คศ.1490 กำแพงที่สูงเป็นป้อมปราการได้ถูกสร้างใหม่เป็นครั้งแรกและมัสยิดที่ใหญ่โตก็ถูกสร้างขึ้น ถนนแคบ ๆ ที่เหมือนเขาวงกตช่วยป้องกันผู้รุกราน เมืองเก่า เตตูอัน (ปัจจุบันเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก)ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากงานบูรณะของ ฮาคีมัด และสามีของเธอ
ความสงบสุขภายใต้การปกครองของพวกเขาได้สิ้นสุดลงในปี คศ.1515 เมื่อสามีของ ฮาคีมัด เสียชีวิต การตายของสามีทำให้เธอมีบทบาทสำคัญในการขึ้นสู่อำนาจ เธอประกาศว่าตัวเองเป็นผู้ครองนคร เตตูอัน และได้รับตำแหน่ง "al-Hurra"เจ้าผู้ครองนคร
ฮาคีมัด เธอไม่เคยลืมความรู้สึกอัปยศและความเคียดแค้นของการถูกเนรเทศครอบครัวของเธอ แต่หาใช่จะมีแต่ฮาคีมัดคนเดียวที่มีความปรารถนาที่จะแก้แค้นพวกคริสเตียน ตั้งแต่ ค.ศ. 1492 ตระกูลสำคัญอย่าง อันดาลูซิอา ได้มีการวางแผนที่จะบุกยึดเมืองกรานาดา แต่ในความเป็นจริงแล้ว สามีของ ฮาคีมัด ก็ได้สะสมกำลังที่ เตตูอัน ด้วยความตั้งใจที่จะเริ่มทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับชาวคริสเตียน แต่ความพยายามนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ฮาคีมัด รู้ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร เธอรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ: “โจรสลัด”
หลังจากการตายของสามี ในปี คศ.1520 ฮาคีมัด ได้ติดต่อกับโจรสลัดชาวเติร์กที่เป็นที่รู้จักในนามว่า “บาบารอสซ่า"( Barbarossa of Algiers) เพื่อต้องการคำแนะนำและยุทธวิถีในการโจมตีกับสเปนและโปรตุเกส คาดว่าภายใต้การแนะนำของ บาบารอสซ่า ทำให้ ฮาคีมัด รวบรวมกองเรือและเริ่มโจมตีเรือบรรทุกสินค้าของโปรตุเกสในทะเลเมดิเตอเรเนียน
"ไม่อาจแย้งได้ว่า ฮารีมัด เป็น ผู้นำโจรสลัดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก " ตามบันทึกของ Fatima Mernissi ใน The Forgotten Queens of Islam เป็นที่ถกเถียงกันว่า ทำไมเธอถึงได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ปกครอง มีความจริงที่ว่าอาณาบริเวณนี้เคยได้รับการปกครองโดยกษัตริย์หญิงหลายคนที่แข็งแกร่งรวมทั้งศัตรูของ ฮารีมัด, อิซาเบลล่า แห่ง สเปน การคบค้าสมาคมกับโจรสลัด(ชาย) บาร์บารอสซ่า อาจช่วยได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้มากทีเดียวที่เธอเป็นคนดีมากในสิ่งที่เธอทำ เธอได้รับแรงบันดาลใจอย่างแน่วแน่ในการแก้แค้น ชุมชนและครอบครัวของเธอได้รับความเสียหายอย่างหนักจากชาวคาทอลิกและเธอก็โจมตีพวกนี้กลับอย่างเปิดเผย และยิ่งไปกว่านั้นทุกคนได้รับประโยชน์จากความพยายามของเธอ
เงินที่โจรสลัดหญิง ฮารีมัดนำกลับมาบ้านนั้นถูกนำมาสร้างกำแพงเมืองใหม่และทำให้พื้นที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ครอบครัวที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่ เรกองกิสตา (Reconquista) ได้รับการชำระคืน
ขณะที่ผู้หญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสำเร็จของ ฮารีมัด ไม่ได้เป็นที่น่าแปลกใจเลย เรื่องราวกล่าวว่าเธอได้จับภรรยาของผู้ครองเมืองโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1520 และเอกสารอ้างอิงภาษาสเปนจากช่วงเวลาดังกล่าวบอกว่ามีการบุกโจมตีใน ยิบรอลตาร์ กองเรือของเธอพานักโทษ ไปเป็นทาสหรือขายเพื่อค่าไถ่ ด้วยเงินเพื่อที่จะกลับไปยังเมืองใหม่ เตตูอัน
ยี่สิบปีที่ผ่านมาฮาคีมัด ปกครองทางตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับ บาร์บารอสซา ที่ถือครองทางด้านตะวันออก การเจรจาซื้อขายตัวประกันผ่านไป ทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำกับการโจรกรรมได้ผ่านพ้นไปแล้ว (เธอยังคงยุ่งอยู่กับการปกครองเมืองที่คึกคักอย่างเตตูอัน) ผู้ปกครองของสเปนและโปรตุเกสรู้ว่าเธอเป็นคนที่อิทธิพลและมีอำนาจมาก เธอถูกกล่าวถึงในเอกสารของรัฐอย่างเป็นทางการตามยศของเธอและถูกเรียกว่า "สตรีผู้ปกครอง" บ่อยครั้งที่รัฐบาลของสเปนและโปรตุเกสสงสัยว่านั่นคือชื่อจริงของเธอหรือไม่
ในปี ค.ศ. 1541ฮาคีมัด ได้แต่งงานกับกษัตริย์โมร็อกโก Ahmed al-Wattasi พวกติดต่อกันเมื่อหลายปีก่อน เมื่อ ฮารีมัด และสามีคนแรกของเธอส่งผู้แทนไปยังกษัตริย์เมือง ฟาซ เพื่อขออนุญาตให้ตั้ง เตตูอาน. กษัตริย์รับการร้องขอและมีความนิยมชมชอบต่อ ฮาคีมัด แหล่งที่มาไม่พูดถึงว่าพวกเขากลายเป็นคู่หมั้นกันอย่างไรหรือเมื่อไหร่ แต่ข้อเสนอแนะว่ากษัตริย์ทรงค่อนข้างหลงใหลกับ ฮารีมัด และเกี้ยวพาราสีเธอจากเมืองฟาซ. พจนานุกรมประวัติศาสตร์ของโมร็อกโกรายงานว่ากษัตริย์ได้ก้าวเท้าออกจากฟาซและเดินทางไปยังเตตูอัน เพื่อจัดงานแต่งงานของพวกเขา ซึ่งเป็นครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์โมร็อกโกที่กษัตริย์ได้ทิ้งเมืองหลวงไปเพื่อแต่งงาน (นั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับ ฮารีมัด แต่งงานกับกษัตริย์แห่งโมร็อกโกในบ้านเกิดของเธอไม่ใช่ของเขา) ฮารีมัด ไม่สนใจเรื่องไร้สาระ การแต่งงานยังคงดำเนินต่อไป หลังจากแต่งงานกับกษัตริย์ เธอปกครองเตตูอานเหมือนก่อน ไม่ยอมสละตำแหน่งการปกครองหรือการเป็นโจรสลัดของเธอ
ถ้าชีวิตของ ฮาคีมัด ถึงปี ค.ศ. 1542 ที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างไม่ชัดเจน เธอถูกถอดถอนจากลูกเลี้ยงของเธอ ลูกชายของกษัตริย์ ในปีนั้น หลังจากเกือบสามสิบปีของการปกครองในเตตูอัน การรัฐประหารนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความน่าสงสัย แหล่งข่าวส่วนใหญ่จะจดบันทึกว่าเป็นปีแห่งการถูกถอดถอนของเธอและไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น เธอถูกปลดออกจากอำนาจและทรัพย์สินของเธอและหลังจากนั้นเธอก็หายตัวไปจากประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง ไม่มีประวัติเกี่ยวกับชีวิตหรือการตายในภายหลัง ราชินีผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รัก และโจรสลัดที่ดุเดือดได้ลื่นไถลลงอย่างเงียบ ๆ และรวดเร็วจากบัลลังค์
นรวดี เยอล์มาซ/แปลเรียบเรียง)
ทีมงานกลุ่มประชาชาติแห่งอิสลาม fb