ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แก่มุสลิมคนหนึ่งให้เข้าใจว่า การสร้างรูปปั้น ที่เป็นรูปคนที่ไม่ใช่มุสลิมนั้น เป็นสิ่งหะรอม เขาบอกว่ามันเป็นรูปของวีรสตรีคนหนึ่ง และได้ต่อสู้กับบรรดามุสลิม เพื่อปกป้องแผ่นดินของนาง...
บูชารูปปั้น เหตุใดศาสนาอิสลามจึงห้าม
ถาม : ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แก่มุสลิมคนหนึ่งให้เข้าใจว่า การสร้างรูปปั้น ที่เป็นรูปคนที่ไม่ใช่มุสลิมนั้น เป็นสิ่งหะรอม เขาบอกว่ามันเป็นรูปของวีรสตรีคนหนึ่ง และได้ต่อสู้กับบรรดามุสลิม เพื่อปกป้องแผ่นดินของนาง และนางก็เป็นบรรพบุรุษของฉัน ก่อนเข้ารับอิสลาม.....มุสลิมเลื่อมใสในรูปปั้น หรือสร้างมัน เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของผู้กล้าหาญ คนใดคนหนึ่งได้หรือไม่ แม้ว่าวีรบุรุษหรือวีรสตรีผู้นั้น จะไม่ใช่มุสลิม ?
ตอบ : อัล-หัมดุลิ้ลลาฮฺ
ประการแรก จากคำถามของเธอ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจว่า รูปปั้นรูปคนมุสลิมนั้น หะลาล ส่วนรูปปั้นรูปคนกาฟิรฺนั้น หะรอม ฉันขอบอกว่าเธอเข้าใจผิด อย่างมหันต์ทีเดียว เนื่องจากว่ารูปปั้น ที่เป็นรูปสิ่งมีชีวิต ล้วนหะรอมทั้งสิ้น ไม่ว่ามันจะเป็นรูปคนมุสลิม หรือคนกาฟิรฺ ก็ตาม อันที่จริงแล้วการทำรูปปั้น ที่เป็นรูปคนกาฟิรฺ เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด เนื่องจากมันรวมความชั่วร้าย สองประการด้วยกัน คือ ความชั่วร้ายในการทำรูปปั้น และความชั่วร้ายที่ไปยกย่องคนกาฟิรฺ
ข้อห้ามเกี่ยวกับการทำรูปภาพ และรูปปั้นมีรายละเอียดดังนี้ คือ
1. ข้อห้ามเกี่ยวกับการทำรูปปั้น มิใช่เป็นเพียงเรื่องราวทางด้านฟิกฺฮฺเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะกีดะฮฺด้วย เพราะว่าอัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่มีอำนาจให้รูปทรงสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และทรงสร้างพวกมันขึ้น ในรูปแบบที่ดีเลิศที่สุด การทำรูปต่างๆ มันจะมีความหมายว่ามนุษย์ กำลังพยายามที่จะตีตัวเสมอเทียมเท่าพระองค์ ในการสร้าง และเมื่อรูปเหล่านี้ ถูกนำไปเป็นเจว็ด มันก็จะถูกเคารพสักการะ แทนอัลลอฮฺ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอะกีดะฮฺ
ตัวบทหลักฐานที่ว่าการสร้างรูปเป็นสิทธิ์เฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้น
1.1 จากอัล-กุรอาน
“พระองค์คือผู้ที่ทำให้พวกเจ้า เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในมดลูก ตามที่พระองค์ทรงประสงค์.....” สูเราะฮฺ อาละ-อิมรอน : 6
“และแท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้า (อาดัม ซึ่งเป็นบรรพบุรุษคนแรก ของพวกเจ้า) แล้วเราได้ทำให้พวกเจ้า(มนุษยชาติสืบทอดเชื้อสายจากอาดัม) เป็นรูปเป็นร่าง (รูปร่างอันประเสริฐของมนุษย์ ในครรภ์มารดา) แล้วเราได้บอกมะลาอิกะฮฺว่า “จงสุญูดต่ออาดัมเถิด”......” สูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ : 11
“พระองค์คืออัลลอฮฺ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงให้บังเกิด ผู้ทรงทำให้เป็นรูปร่าง สำหรับพระองค์ คือพระนามทั้งหลาย อันดียิ่ง บรรดาสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน ต่างสรรเสริญสดุดีพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ” สูเราะฮฺ อัล-หัชรฺ : 24
“โอ้ มนุษย์เอ๋ย อะไรเล่าที่ล่อลวงเจ้า ให้ห่างไกลจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงเกื้อกูลยิ่ง ผู้ทรงบังเกิดเจ้า แล้วทรงทำให้เจ้า มีอวัยวะที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วทรงทำให้เจ้ามีอวัยวะ และรูปร่างที่สมส่วน ในรูปใดที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะประกอบเจ้าขึ้นมา” สูเราะฮฺ อัล-อิมฟิฏอรฺ : 6-8
ตัวอย่างจากอายะฮฺเหล่านี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความเชื่อที่ว่า การสร้างและการกำหนดรูปทรง ของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในสากลจักรวาลนั้น เป็นสิทธิเฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้น ผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงออกแบบที่ดีเลิศยิ่ง ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้ใครล่วงล้ำสิทธิดังกล่าว ในการพยายามที่จะเลียนแบบการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ
1.2 ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮา มารดาแห่งผู้ศรัทธา ได้รายงานว่า อุมมุ หะบีบะฮฺ กับ อุมมุ สะละมะฮฺ ได้เล่าถึงโบสถ์แห่งหนึ่ง ที่พวกนางเคยเห็นมา ในเอธิโอเบีย ให้ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ฟัง ซึ่งในโบสถ์นั้น มีรูปหลายรูป ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “คนพวกนั้น ถ้าคนดี เคร่งครัดคุณธรรมคนใด ในหมู่พวกเขา เสียชีวิตลง พวกเขาก็จะสร้างสถานที่ สำหรับสักการบูชา บนหลุมศพของคนดีท่านนั้น และจะมีรูปในสถานที่นั้นด้วย เหล่านี้จะเป็นสิ่งถูกสร้างชั่วร้ายที่สุด ที่ปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮฺ ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ” (บุคอรียฺ ; หมายเลข 417, มุสลิม ; หมายเลข 528)
ท่านอัล-หาฟิซฺ อิบนิ หะญัร ร่อหิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวว่า หะดีษนี้ ชี้ให้เห็นว่าการทำรูปภาพ เป็นสิ่งหะรอม (จาก ฟัตหุ้ล บารียฺ เล่ม 1 หน้า 525)
ท่านอิมามนะวะวียฺ ร่อหิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวว่า บรรดาสหายของพวกเรา (ในแนวมัซฮับ ชาฟิอียฺ) และบรรดานักวิชาการคนอื่นๆ ในอีกสามมัซฮับ ก็กล่าวเช่นกันว่า การทำรูปภาพ (ตัศวีรฺ) สิ่งมีชีวิต (ทั้งมนุษย์และสัตว์) เป็นสิ่งที่ถูกห้ามอย่างเด็ดขาด เข้มงวด และเป็นบาปใหญ่ เนื่องจากผู้ใดที่พัวพันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ได้ถูกเตือนอย่างหนักแน่น ในบรรดาหะดีษศ่อหี๊ยฺหฺทั้งหลาย เช่นเดียวกันกับผู้ที่ทำรูปภาพ ไม่ว่าจะเป็นรูปที่ไม่น่าให้เกียรตินับถือ และเป็นรูปที่อัปมงคล หรือที่ตรงกันข้ามก็ตาม ในทุกกรณี การทำเช่นนี้ เป็นสิ่งต้องห้าม ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการทำรูปภาพนั้น เป็นการเลียนแบบการสร้างสรรของอัลลอฮฺ ข้อห้ามในการทำรูปภาพนั้น กินความรวมถึงการทำรูปภาพ ลงในเสื้อผ้า พรม เหรียญเงิน บรรจุภัณฑ์ทุกประเภท (ไม่ว่าจะเป็น ถุง กล่อง กระเป๋า หีบห่อ ภาชนะใส่ของกินของใช้ต่างๆ เป็นต้น) ฝาผนัง และอื่นๆอีก ทุกรูปแบบ สำหรับรูปต้นไม้ หรือที่รองนั่งบนหลังอูฐ (กูบ) หรือวัตถุสิ่งของที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่เป็นที่ต้องห้าม แต่ประการใด นี่เป็นกฎเกณฑ์บทบัญญัติของอิสลาม เกี่ยวกับการทำรูปภาพโดยทั่วไป (ชัรหฺ มุสลิม , 14/81)
1.3 ท่านสะอีด อิบนิ อะบียฺ อัล-หะสัน ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้เล่าว่า“ฉันอยู่กับท่านอิบนิ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ มีชายคนหนึ่งมาหาท่าน แล้วกล่าวว่า‘โอ้ อะบู อับบาส ฉันเป็นคนหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่กับสิ่งที่ฉันทำมัน ด้วยกับมือของฉัน ฉันทำรูปภาพมากมาย’ ท่านอิบนิ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุได้กล่าวว่า ‘ฉันขอบอกแก่ท่าน ถึงสิ่งที่ฉันได้ยินจากท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ฉันได้ยินท่านกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ทำรูปภาพ อัลลอฮฺจะลงโทษเขา จนกว่าเขาจะเป่าชีวิตเข้าไปในมัน และแน่นอนเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เป็นอันขาด” ชายคนนั้นตกใจกลัวถึงกับทรุดตัวลงทั้งยืน ใบหน้าซีดขาว เมื่อเห็นเช่นนั้นท่านอิบนิ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ จึงกล่าวว่า ‘ความหายนะจะเกิดแก่ท่าน ถ้าท่านยังไม่เลิกทำรูปภาพอีก ก็ขอให้ทำรูปต้นไม้ และสิ่งที่ไม่มีชีวิต’ ”(บุคอรียฺ ; หมายเลข 2112 , มุสลิม; หมายเลข 2110)
1.4 ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ มัสอูด ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ รายงานว่า “ฉันได้ยินท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “คนที่จะถูกลงโทษอย่างแสนสาหัส ต่อหน้าอัลลอฮฺ ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ก็คือ คนที่ทำรูปภาพ””(อัล-บุคอรียิ ; หมายเลข 5606 , มุสลิม ; หมายเลข 2109)
1.5 ท่านอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ รายงานว่าท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่ทำรูปภาพ จะถูกลงโทษ ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ จะมีกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘จงให้ชีวิต แก่สิ่งที่เจ้าได้ทำขึ้น’ ” (บุคอรียฺ ; หมายเลข 5067 , มุสลิม ; หมายเลข 2109)
1.6 ท่านอะบู ฮุร็อยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ รายงานว่า ท่านได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ในนครมะดีนะฮฺ และท่านได้เห็นคนกำลังทำรูปภาพอยู่ ในบ้านหลังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า “ฉันได้ยินท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “(อัลลอฮฺได้กล่าวว่า) จะมีใครที่มีความผิดร้ายแรงยิ่งไปกว่า คนที่สร้างสิ่งที่เหมือนสิ่งที่ข้าสร้าง ? จงให้พวกเขาสร้างเมล็ดพืชขึ้นมา สักเมล็ดหนึ่ง หรือสร้างมดขึ้นมาตัวหนึ่งซิ !” ” (บุคอรียฺ ; หมายเลข 5609, มุสลิม ; หมายเลข 2111)
ท่านอิมามนะวะวียฺ ได้กล่าวว่า “คำกล่าวของอัลลอฮฺที่ว่า จงให้พวกเขาสร้างเมล็ดพืชขึ้นมา สักเมล็ดหนึ่ง หรือสร้างมดขึ้นมาตัวหนึ่งซิ !หมายความว่า จงสร้างมดตัวเล็กๆ ขึ้นมาสักตัวหนึ่ง ที่มีชีวิตมีวิญญาณ เคลื่อนไหวได้ ด้วยตัวของมันเอง ให้เหมือนกับมดตัวเล็กๆ ที่อัลลอฮฺทรงสร้างขึ้น หรือให้พวกเขาสร้างเมล็ดพืชขึ้นมา สักเมล็ดหนึ่ง อาจจะเป็นเมล็ดข้าวสาลี หรือเมล็ดข้าวบาเล่ย์ก็ได้ ให้พวกเขาสร้างเมล็ดพืชชนิดหนึ่ง ที่กินเป็นอาหารได้ และสามารถนำมันไปเพาะปลูก จนงอกเงยเจริญเติบโตเป็นลำต้นได้ ให้เหมือนกับเมล็ดข้าวสาลี หรือเมล็ดข้าวบาเล่ย์ หรือเมล็ดพืชอื่นๆ ที่อัลลอฮฺทรงสร้าง แน่นอนเหลือเกิน นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”(ชัรหฺ มุสลิม 14 /90) ไม่มีผู้ใดสามารถให้ชีวิต แก่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้ นอกจากอัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น สุบหานั้ลลอฮฺ
1.7 ท่านอะบู ญุหาฟะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้รายงานว่า ท่าน รสูลุ้ลลอฮฺศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ห้ามกำหนดราคาสุนัข และเลือด ห้ามทำรอยสัก ให้ผู้อื่น และห้ามให้ผู้อื่น มาทำรอยสักให้ ห้ามให้และรับดอกเบี้ย และท่านได้สาปแช่ง คนที่ทำรูปภาพ (อัล-บุคอรียฺ หมายเลข 1980)
2. อิสลามได้มีบัญญัติไว้ว่า บรรดาเจว็ดรูปปั้นทั้งหลาย จะต้องถูกทำลาย และทำให้แตกละเอียด ห้ามสร้างและห้ามซ่อมแซม ดังตัวบทหลักฐานต่อไปนี้
2.1 ท่านอับดุลลอฮฺ บิน มัสอูด ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้รายงานว่า ตอนที่ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เข้าพิชิตมักกะฮฺได้ ในขณะนั้น มีเจว็ดรูปปั้น จำนวนหนึ่งร้อยหกสิบรูป อยู่รายรอบกะอฺบะฮฺ ท่านได้เริ่มตีทำลายมัน ด้วยไม้เท้าของท่าน และกล่าวว่า “เมื่อความจริงมาถึง ความเท็จย่อมมลายหายไป แน่นอน ความเท็จย่อมมลายหายไป” (สูเราะฮฺ อัล-อิสรออ์ : 81)- (บุคอรียฺ ; หมายเลข 2346, มุสลิม ; หมายเลข 1781)
2.2 ท่านอะบู อัล-ฮัยยาจฺญ อัล-อะสะดียฺ ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้รายงานว่า ท่านอะลียฺ บิน อะบี ฏอลิบ ได้บอกแก่ฉันว่า “จะเอาไหม ฉันจะมอบหลักการพื้นฐาน แก่ท่าน อย่างเดียวกับที่ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้มอบให้แก่ฉัน ? คือจงอย่าปล่อย ให้มีรูปปั้นใดๆ เกิดขึ้น โดยไม่ได้ทำลายมัน และจงอย่าปล่อยให้หลุมศพใด สูงเนิน โดยไม่เกลี่ยมันลงมาระนาบกับพื้นดิน (ในรายงานหนึ่ง มีข้อความว่า “และจงอย่าปล่อยให้มีรูปภาพ โดยไม่ลบมันออก หรือขีดฆ่าทำลายมัน”) (มุสลิม 969)
ท่านอิบนิ อัล-ก็อยยิมร่อหิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวว่า ตะมาษีลเป็นพหูพจน์ของ ติมษาม (รูปปั้น) ซึ่งหมายถึงภาพเหมือน หรือรูปปั้น (อัล-ฟะวาอิด หน้า 196)
ชัยคุ้ลอิสลาม ท่านอิบนิ ตัยมียะฮฺ ร่อหิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวว่า คำสั่งที่ให้ทำลายนี้ เป็นการทำลายรูปสองชนิดด้วยกัน คือ รูปคนตาย และรูปที่วางอยู่เหนือหลุมศพ เพราะชิรฺก์จะตามมาจากภาพสองชนิดนี้ (มัจญมูอฺ อัล-ฟะตาวา เล่ม 17 หน้า 462)
3. ท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กำชับเตือน ถึงการนำรูปภาพไปไว้ในบ้าน และกล่าวว่า นี้เป็นบาปอย่างหนึ่ง และเป็นการกีดกันคนในบ้านนั้น จากความดีงามความจำเริญ
3.1 ท่านอะบู ฏ้อลหะฮฺ ได้รายงานว่า ฉันได้ยินท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “มะลาอิกะฮฺ จะไม่เข้าบ้าน ที่มีสุนัข หรือมีรูปภาพ” (อัล-บุคอรียฺ ; หมายเลข 3053 , มุสลิม ; 2106)
3.2 ท่านหญิงอาอิชะฮฺร่อฎิยัลลอฮุ อันฮา– มารดาแห่งผู้ศรัทธา - ได้กล่าวว่า : “ฉันได้ซื้อเบาะรองนั่งมาใบหนึ่ง ซึ่งมีรูปภาพอยู่บนมัน เมื่อท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม เห็นมัน ท่านก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ไม่ยอมเข้าบ้าน ฉันสังเกตเห็นถึงความไม่พอใจ อย่างมากของท่าน ได้จากสีหน้าของท่าน ฉันจึงได้กล่าวว่า ‘โอ้ ท่านรสูลุลลอฮฺ ! ฉันขอกลับเนื้อกลับตัว ยังอัลลอฮ ฺและรสูลของพระองค์ ฉันทำอะไรผิดไปหรือคะ ?
ท่านกล่าวว่า ‘เบาะนี่ สำหรับใช้ทำอะไรหรือ ?’ ฉันตอบว่า ‘ฉันได้ซื้อมันมา เพื่อให้ท่านได้ใช้สำหรับรองนั่ง และใช้สำหรับเอนหลัง’ ท่านรสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม จึงกล่าวว่า ‘บรรดาคนที่มีส่วนร่วม ในการทำรูปภาพทั้งหลายเหล่านี้ จะถูกลงโทษอย่างแสนสาหัส ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และจะมีกล่าวแก่พวกเขาว่า : ‘จงทำให้สิ่งที่พวกเจ้าสร้างขึ้นมานี้ มีชีวิตขึ้นมาซิ’ และแท้จริงบรรดามะลาอิกะฮฺ จะไม่เข้าบ้านที่มีรูปภาพ’ ” (อัล-บุคอรียฺ ; หมายเลข 1999 , มุสลิม ; หมายเลข 2107)
4. การทำรูปภาพ เป็นหนทางหนึ่งของการจมดิ่งสู่ชิรฺก์ เนื่องจากชิรฺก์ เริ่มต้นจากการให้เกียรติ เคารพนับถือ ภาพของคนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนส่วนใหญ่ มีความรู้น้อย หรือไม่มีความรู้เลย
ท่านอิบนิ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้กล่าวว่า “บรรดาเจว็ดรูปปั้น ของกลุ่มชนของท่านนบีนูหฺ อฺะลัยฮิสสะลาม ได้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ในหมู่ชาวอาหรับ ในยุคต่อมาหลังจากท่าน วัดดฺ เป็นที่เคารพบูชาของเผ่ากัลบฺ ในเดามะฮฺอัล-ญันดัล สุวาอฺ เป็นที่เคารพบูชาของพวกฮุซัยลฺ ยะฆูต เป็นที่เคารพบูชาของพวกมุรอด แล้วก็พวกบนีฆุฏ็อยฟฺ ในเญาฟฺ ใก้ลๆกับสะบาอ์ ยะอูกฺ เป็นที่เคารพบูชาของพวกฮะมะดาน ส่วนนะซัรฺ เป็นที่เคารพบูชาของพวกหุมัยรฺแห่งอาล ซียฺ อัล-กะลาอฺ ชื่อเหล่านี้ เป็นชื่อของบรรดาคนศอลิหฺ (คนดีเคร่งครัดคุณธรรม) จากกลุ่มชนของท่านนบีนูหฺ อฺะลัยฮิสสะลาม เมื่อพวกท่านเหล่านั้น เสียชีวิตลง ชัยฏอนได้กระซิบกระซาบประชาชน ของพวกท่าน ให้สร้างเจว็ดรูปปั้นขึ้นในสถานที่ที่ พวกท่านเหล่านั้น เคยนั่งและเรียกชื่อเจว็ดเหล่านั้น ตามนามของพวกท่าน ประชาชนทั้งหลาย สร้างเจว็ดเหล่านั้น แต่ยังไม่ถึงกับทำการเคารพสักการะ หรือ บูชาพวกมัน แต่หลังจากที่ประชาชนในยุคนั้น ตายไป ผู้คนในยุคหลังต่อมา ได้ลืมเลือนที่มาของรูปปั้นเหล่านั้น แล้วพวกเขาก็เริ่มเคารพสักการะ และบูชาพวกมัน” (อัล-บุคอรียฺ หมายเลข 4636)
ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะฮฺ ร่อหิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “อัล-ลาต ถูกเคารพบูชา ก็เพราะการแสดงความเคารพนับถือหลุมศพ ของคนศอลิหฺท่านหนึ่ง” (อิกฺติฎออ์ อัล-ศิรอฏ้อลมุสตะกีม เล่ม 2 หน้า 333)
ท่านยังได้กล่าวอีกว่า “ปัญหาเรื่องการแสดงความนับถือนี้ เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมอิสลามจึงห้ามอย่างเด็ดขาด เกี่ยวกับรูปภาพทุกชนิด และเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมประชาชาติทั้งหลาย จึงจมดิ่งสู่การชิรฺก์ ไม่ว่าจะเป็นชิรฺก์ใหญ่ หรือชิรฺก์เล็กก็ตาม” (อิกฺติฎออ์ อัล-ศิรอฏ้อลมุสตะกีม เล่ม 2 หน้า 334)
ท่านอิบนิ อัล-ก็อยยิม ร่อหิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้สาธยายถึงวิธีการที่ชัยฏอนเข้าไปล่อลวงพวกคริสเตียนว่า
“ชัยฏอนได้เข้าไปล่อลวงพวกคริสเตียน เกี่ยวกับเรื่องรูปภาพ ซึ่งมีอยู่ในโบสถ์ของพวกเขา และพวกเขาก็เคารพบูชามัน ท่านจะพบว่าไม่มีโบสถ์ใดเลย ที่ปราศจากรูปภาพของนางมัรฺยัม (พระนางแมรี่), อัล-มะสีหฺ (นบีอีสา หรือ พระเยซู), จอร์จ,ปีเตอร์ และคนอื่นๆ ที่เป็นบาทหลวงของพวกเขา หรือผู้ที่พลีชีพ เพื่อพระเจ้าของพวกเขา ส่วนมากของพวกเขา โค้งคำนับ หรือแสดงความเคารพ ต่อรูปภาพเหล่านี้ และสวดอ้อนวอนขอพร จากรูปภาพเหล่านี้ แทนที่จะขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺองค์เดียว พระราชาคณะ แห่งอะเล็กซานเดรีย ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถึงผู้ปกครองแห่งโรม เชิญชวนให้โค้งคำนับ หรือแสดงความเคารพ ต่อรูปภาพเหล่านี้ โดยกล่าวว่า
อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้มูสา ทำรูปเทวดาเด็กที่มีปีก ไว้ในหอสวด ครั้นเมื่อถึงสมัยของสุลัยมาน บุตรของดาวูด ก็ได้สร้างโบสถ์ขึ้น และสร้างรูปเทวดาเด็กที่มีปีกหลายรูป แล้วเอาไปไว้ในโบสถ์นั้น จดหมาย หรือราชโองการนี้ ก็เช่นกัน เมื่อกษัตริย์ส่งราชโองการถึงข้าหลวงของเขา ข้าหลวงผู้นั้น จะต้องคุกเข่าลง นำเอาราชโองการมาจูบ แล้วหลังจากนั้น ก็เอามาสัมผัสหน้าผากของเขา (เป็นเครื่องหมายของการแสดงความนับถือ) แล้วก็ยืนขึ้น เพื่อรับราชโองการนั้น ที่เขาทำเช่นนี้ มิได้หมายความว่า เขาทำความเคารพราชโองการ ซึ่งเป็นเพียงกระดาษและน้ำหมึกเท่านั้น หากแต่เขาทำความเคารพพระราชา ในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้ใดโค้งคำนับ หรือก้มกราบรูปภาพใดๆ นั่นย่อมหมายถึง เขาได้แสดงความเคารพสักการะคนในภาพนั้น ไม่ใช่แสดงความเคารพ ต่อสีสันของรูปเหล่านั้น นี่เป็นตัวอย่างของการเคารพบูชาเจว็ด” (อิฆอษะฮฺ อัล-ละฮฺฟาน, เล่ม 2 หน้า 292)
ท่านยังกล่าวอีกว่า “สาเหตุที่ประชาชาติทั้งหลาย จมดิ่งสู่การชิรฺก์ ส่วนใหญ่แล้วเนื่องมาจากรูปภาพ และหลุมศพ” (ซาด อัล-มะอาด เล่ม 3 หน้า 458)
5. อายะฮฺอัล-กุรอาน และบรรดาหะดีษ ที่ยกมาแต่ต้น ทั้งหมดนี้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า ข้อห้ามเกี่ยวกับรูปภาพนั้น ก็ด้วยเหตุผลบางประการ คือ
ประการแรก คือ เพราะมันหมายถึงความพยายาม ที่จะเลียนแบบการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ
ประการที่สอง คือ เพราะมันเป็นการเลียนแบบพวกกาฟิรฺ
ประการที่สาม คือ เพราะมันเป็นหนทาง ที่จะนำไปสู่การแสดงความเคารพนับถือ เคารพบูชา และตกไปสู่การชิรฺก์
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ในสร้างรูปปั้น รูปเคารพ ไม่ว่ารูปนั้น จะเป็นมุสลิม หรือกาฟิรฺก็ตาม ผู้ใดก็ตามที่ยังทำเช่นนั้นอยู่ ก็เท่ากับเขาพยายามที่เลียนแบบ ให้เหมือนการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ และสมควรได้รับการสาปแช่ง
เราขอต่ออัลลอฮฺ ได้โปรดปกป้องคุ้มครองพวกเรา ให้รอดพ้นปลอดภัย และมั่นคง อยู่บนความถูกต้อง และได้รับทางนำจากพระองค์
ขออัลลอฮฺได้โปรดประทานความจำเริญ แก่ท่านนบีมุหัมมัดของพวกเรา
ที่มา: www.piwdee.net