ความพิศวงที่เกิดขึ้นบนพิภพของเรานี้ มีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมากมาย หนึ่งจากเรื่องพิศวงและลึกลับนั้น ได้เกิดขึ้น ณ บริเวณที่เรียกกันว่า
ดัจญาลกับพิศวงแห่งเบอร์มิวด้า
ความพิศวงที่เกิดขึ้นบนพิภพของเรานี้ มีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมากมาย หนึ่งจากเรื่องพิศวงและลึกลับนั้น ได้เกิดขึ้น ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle) ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์ และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป ก็อาจหายสาบสูญไป อย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย
ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากซึ่งประกอบไปด้วยเกาะเล็ก ๆ ประมาณ 300 เกาะ เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมด ปกคลุมพื้นทะเล ตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้า ไปยังทางตอนใต้ ของรัฐฟลอริดา ตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออก ไปจนถึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิก ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่ จะครอบคลุ่มพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยม เหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ ได้มาอย่างไร มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Trian gle) ...
ปรากฏการณ์ลึกลับ และเหลือเชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 จนถึงปัจจุบัน ในน่านน้ำแห่งนี้ ได้กลืนกินเครื่องบิน จำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร อีกจำนวนมาก รวมถึงมนุษย์อีกนับพันคน ทั้งหมดนั้น ล้วนหายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอย หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไป เหลือให้เห็นเลย และมันยังคงดำเนินอย่างนี้ต่อไป โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากบันทึกของกองเรือยามฝังสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทร และเครื่องบิน มีสถิติความสูญหาย อย่างผิดปกติ ในอาณาบริเวณนี้ เป็นบริเวณต้องห้าม และเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ มันอาถรรพณ์อย่างไร สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้ กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบิน หรือนักเดินเรือ ต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็น ก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้ อย่างเด็ดขาด อาจเป็นเพราะความเชื่อ ในเรื่องอันพิศวงที่เป็นข่าวกันไม่รู้จบ ระหว่างคนในละแวกนั้น เหตุการณ์ประหลาด ๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน
จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับ เป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้น เป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่น วิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่อง โซน่าร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่พบแม้แต่เงา นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ที่ได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชน ที่ต้องจ่ายประกันไป จนบริษัทแทบล้มละลาย นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง
อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คน หายไปไหน ใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ตัวอย่างอีกรายหนึ่ง ที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่า มันเป็นอาถรรพณ์ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง ทั้งหมด 14 นาย ได้ออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดล ประมาณ 225 ไมล์ และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำ ก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา
นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย ออกตามหา และ 20 นาทีต่อมา PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อกับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกัน ไม่มีเหลือแม้แต่เงา มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง
แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบิน หายสาบสูญไปในบริเวณเบอร์มิวด้าแล้ว เป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอน เป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้ สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้ กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า แถบเบอร์มิวด้า ต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ
นักวิเคราะห์ได้ให้ข้อสังเกตุนี้ว่า ปรากฏการณ์ความลึกลับ ที่เกิดขึ้นเหนือนน่านน้ำเบอร์มิวด้า ส่วนใหญ่แล้วจะเกิด ในช่วงเวลาที่แน่นอน ซึ่งช่วงเวลาที่เกิดจะเฉพาะเดือน พฤศจิกายน ธันวาคม และกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงปลายปีและต้นปี
ชนชาติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างพยายามดำเนินการค้นคว้าหาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้ อย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกันจากภัย ที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ มันคือสิ่งท้าทายความสามารถของมนุษย์ที่สุด ในการที่จะแก้ปมปริศนา นักวิชาการต่างเสนอทฤษฎีต่างๆ บ้างก็ว่าเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน บ้างก็ว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก็ว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งบินลึกลับ
ทฤษฎีต่าง ๆ ของการเกิดปรากฏการณ์ลึกลับพิศวงนี้
1. ทฤษฎีว่าด้วยจานผี UFO
2. ทฤษฎีว่าด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดคลื่นยักษ์ โถมเข้าเรือเดินทะเลจมเป็นจำนวนมาก และแผ่นดินไหวดังกล่าว และคลื่นอากาศ ทำให้ระบบการทรงตัวของเครื่องบินบกพร่อง จนผู้ควบคุมไม่สามารถควบคุมเครื่องบินได้
3. นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่า บริเวณใต้ทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแหล่งของแก็สมีเธนไฮเดรท (Methane hydrates) ซึ่งในบางครั้งแรงดันของแหล่งแก็สเหล่านี้ จะมีมาก จนดันผ่านรอยแตกของเปลือกโลกขึ้นมา มันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน จึงไม่แปลกหากปรากฏการณ์นี้ จะจมเรือสักสิบลำที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมๆ กันได้ในพริบตา มีเธนไฮเดรทนี้สามารถรบกวนคลื่แม่เหล็กไฟฟ้าได้ ทำให้วิทยุสื่อสาร ตลอดจนเรดาร์หมดประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนกลุ่มควันความร้อน ที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือตกใจ นึกว่าตัวเองหลงเข้าไปในมิติสนธยา
4. น่านน้ำแห่งนี้ อาจเป็นอาณาจักรของหัวหน้าญิน หรือชัยตอน และเป็นที่อยู่อาศัยของญินจำนวนมาก เพราะเบอร์มิวด้า ไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียว บนโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่ง เป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป็นดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลง จนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว
เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกว่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจ ทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้น ลงเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจ เพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น
สองสามวันต่อมา เมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่มีอะไรทั้งนั้น หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล แต่ไม่พบแม้แต่เงา
5. และอีกทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ก็คือน่านน้ำแห่งนี้ อาจมีเกาะ ๆ หนึ่งที่ดัจญาลถูกกักขังอยู่ ด้วยความสามารถของมัน สามารถทำให้สิ่งที่ล่วงล่ำอาณาเขตของมัน ต้องสูญหายโดยไร้ร่องรอย อย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านศาสดามูฮัมหมัด จากทฤษฎีท้ายนี้ ก็ได้มีหลักฐาน ที่อาจจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า อาณาเขตเบอร์มิวด้า อาจจะเป็นสถานที่กักขังดัจญาล ก็เป็นได้
ดังที่มีรายงานในหะดีษว่า ฟาตีมะฮฺ บุตรี ก็อยซ์ ได้เล่าว่า ฉันได้ยินเสียงเรียกของท่านศาสดามูฮัมหมัดว่า ละหมาด คือ ศูนย์รวม ฉันก็ได้ออกไปยังมัสยิด และละหมาดพร้อมกับท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) โดยนั่งทัดจากชายกลุ่มหนึ่ง เมื่อท่านศาสดาเสร็จจากละหมาด ท่านก็มานั้งบนมิมบัรโดยหัวเราะ แล้วก็กล่าวว่า จำเป็นต่อทุกคน ต้องยึดที่ละหมาดของตน (ให้นั่งอยู่กับที่) แล้วกล่าวต่อไปว่า พวกท่านรู้หรือไม่ว่า ฉันรวมพวกท่านมาเพื่อเหตุใด?
พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺและศาสดาเท่านั้นที่รู้ดียิ่ง ท่านศาสดากล่าวต่อไปว่า ฉันและอัลลอฮฺไม่ได้รวมพวกท่านมา เพื่อต้องการหรือขมขู่หรอก แต่ทว่าฉันรวมพวกท่านมา ก็เพราะว่าท่าน ตามีม อัด-ดารีย์ ที่เป็นชาวคริสเตียน เขาได้มา แล้วทำการให้สัตยาบัน และได้เข้ารับอิสลาม เขาได้เล่าเรื่อง ๆ หนึ่ง ที่ตรงกับเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้พวกท่านได้ฟังมาแล้ว จากเรื่องของดัจญาล
เขาเล่าให้ฉันฟังว่า เขาแล่นเรือเดินทะเล พร้อมกับคนอีก 30 คน ที่เป็นโรคเรื้อน เรือของพวกเขาได้โต้คลื่นนานถึง 1 เดือน ในทะเล แล้วพวกเขาก็ได้ไปติดเกาะ ๆ หนึ่ง จนกระทั่งพระอาทิตย์ตก โดยพวกเขาก็นั่งอยู่ที่เรือ แล้วก็เดินเข้าไปในเกาะ จนกระทั่งมีสัตว์ตัวหนึ่ง ที่มีขนมากมาย มาพบกับพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าด้านไหนหลังด้านไหนหน้า (เพราะว่าขนมันเยอะมาก) พวกเขาจึงอุทานว่า.. มันคืออะไรกันแน่ ?? มันก็ได้พูดว่า ฉันคือ ยัซซาซะฮฺ พวกเขาก็ได้พูดต่อไปว่า อะไรคือ ยัซซาซะฮฺ มันก็พูดว่า ทุกคนจงไปหาชายที่อยู่ในโบถน์สิ เขาอยากได้ยินข่าวจากพวกท่านใจจะขาด
ท่าน ตามีม ก็ได้กล่าวว่า เมื่อยัซซาซะฮฺ มันได้บอกกับเราถึงชายคนหนึ่ง เราก็ได้แยกจากมัน ปรากฏว่ามันเป็นชัยตอน ท่านตามีม ก็ได้กล่าวว่า เราก็ได้รีบด่วนไปจนเข้าไปในโบถน์ ในนั้นมีชายร่างใหญ่ เราได้เห็นมันในสภาพที่เป็นมนุษย์ ถูกมัดไว้แน่น โดยรวบมือทั้ง 2 ไว้ที่ต้นคอ ล่ามขาหรือหน้าแข้ง ด้วยกับเหล็ก เราจึงอุทานว่า ท่านคืออะไรกัน ?? มันจึงพูดว่า พวกท่านสามารถบอกข่าวให้กับฉันได้ ดังนั้น จงบอกข่าวให้ฉัน พวกท่านเป็นใคร ?
พวกเขาได้กล่าวว่า เราเป็นชาวอาหรับ เราได้นั่งเรือมา บังเอิญทะเลเกิดปั่นป่วน พวกเราจึงโต้คลื่นอยู่นานถึง 1 เดือน ต่อมาเราก็มาติดเกาะของท่านนี่แหละ เราก็ได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ เรือ แล้วเราก็เดินเขามาในเกาะ แล้วก็พบกับสัตว์มีขนมาก (แล้วพูดคุยกับมัน) ชายในโบถน์นั้นจึงกล่าวว่า พวกท่านจงบอกฉัน ถึงเรื่องอินทผลัมบัยซาน ซิ เราก็กล่าวว่า ท่านต้องการรู้เรื่องอะไรของมัน ? ชายในโบถน์จึงกล่าวว่า ฉันจะถามพวกท่านว่า อินทผลัมนี้มีผลหรือไม่ เราก็ตอบว่า ใช่ !! มันมีผล!! ชายผู้นั้นก็ได้กล่าวว่า แน่นอนมันเกือบที่จะไม่ออกผลแล้ว!!
แล้ว ก็กล่าวต่อไปว่า พวกท่านจงบอกกับฉัน ถึงเรื่องทะเลสาบต็อบรีย์ ซิ ?? เราจึงกล่าวว่า ท่านต้องการรู้เรื่องอะไรของมัน ? มันจึงกล่าวว่า ในนั้นมีน้ำหรือไม่ ?? พวกเขาก็บอกว่า มันมีน้ำมาก !! มันก็กล่าวต่อไปว่า น้ำในทะเลสาบนั้น เกือบที่จะแห้งหมดแล้ว!! แล้วก็พูดว่า พวกท่านจงบอกฉันถึงเรื่องตาน้ำซูค๊อร ?? พวกเขาก็บอกว่า ท่านต้องการรู้เรื่องอะไรของมัน ?? ชายผู้นั้นตอบว่า ในตาน้ำมีน้ำหรือไม่ ?? แล้วชาวบ้านซูค๊อรใช้ตาน้ำนี้ทำการเพาะปลูกหรือเปล่า ?? เราก็บอกว่า ใช่ !! มันมีน้ำมากและใช้ทำการเพาะปลูกด้วย
ชายผู้นั้นกล่าวว่า จงบอกกับฉันซิ ถึงเรื่องนบี อัล-อุมมีย์ (นบีที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได)้ คือ นบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ว่าเขาทำอะไรบ้าง ?? พวกเขาบอกว่า นบีได้ออกมาจากมักกะห์มุ่งไปยังเมืองยัซริบ !! ชายผู้นั้นก็พูดว่า อาหรับจะฆ่าเขาใช่ไหม ?? เราก็บอกว่า ใช่ !! แล้วมันก็เล่าให้ชายผู้นั้นฟังว่า อย่างไรที่เขาทำกับอาหรับ ?? เราก็บอกว่า อาหรับจะติดตามเขา และภักดีต่อท่านนบี!! ชายผู้นั้นก็กล่าวว่า ใช่ !! อย่างที่เล่ามาหรือ ?? เราก็บอกว่า ใช่ !! แล้วชายผู้นั้นก็กล่าวว่า หากมันเป็นเช่นนั้น มันก็ดีกับพวกเขาจากการที่พวกเขาภักดีต่อนบี และฉันก็จะบอกกับพวกท่านถึงเรื่องฉัน ฉัน คือมาเซียฮฺ (ดัจญาล) ฉันใกล้ที่จะถูกอนุญาตให้ออกไปแล้ว แล้วฉันก็จะออกเดินทางไปบนหน้าแผ่นดิน ฉันจะไม่เว้นไปสักหมู่บ้านเดียว แต่ฉันจะไปทุก ๆ หมู่บ้าน ภายใน 40 คืน นอกจากมักกะห์และตอยยีบะห์ สองเมืองนี้ถูกห้ามสำหรับฉัน
ทุก ๆ ครั้ง ที่ฉันต้องการจะเข้าไป ในเมือง ๆ หนึ่ง จะมีบรรดามะลาอิกะฮฺถือดาบ วิ่งมาขัดขวางไม่ให้ฉันเข้าไป และทุก ๆ ถนน จากสองเมือง ก็จะมีมะลาอิกะฮฺ มารักษาความปลอดภัยอยู่ ท่านฟาติมะฮฺได้เล่าว่า ท่านนบีได้กล่าวพร้อมกับเอานิ้วก้อยจิ้มไปที่มีมบัร และพูดว่า นี่แหละตอยยีบะฮฺ (หมายถึงมาดีนะห์) !! โปรดทราบ ฉันเคยเล่าเรื่องดังกล่าว ให้พวกท่านฟังแล้วใช่ไหม? ผู้ฟังก็ตอบว่า ใช่ !!... (รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูดและติรมีซีย์)
www.piwdee.net