ข้อห้ามในการหลับนอนระหว่างสามีภรรยา อิสลามว่าไว้อย่างไร


79,716 ผู้ชม

ไม่อนุญาตให้เจ้าบ่าวให้เงินแก่เจ้าสาวเพื่อให้นางแก้ปมผ้านุ่งของนาง เพราะดังกล่าวนั้น คล้ายกับซินา ดังนั้น ผู้มีสติปัญญาโปรดระวังสิ่งดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับซุนนะฮ์ที่บริสุทธิ์


ข้อห้ามในการหลับนอน ระหว่าง สามีภรรยา

สิ่งที่ ห้าม โดยชัดเจน
1. ร่วมกันทางทวารหนัก
2. ร่วมกันขณะมีประจำเดือน

สิ่งที่ ไม่ควร
1. ไม่สมควรการจ้องที่อวัยะเพศของฝั่งตรงข้าม
2. ไม่สมควรเปลื้องเสื้อผ้าจนหมด ( ล่อนจ้อน )
3. ไม่สมควรพูดจาโดยไร้สาระ และไม่จำเป็น
4. ไม่สมควรใช้ท่ายืนในการร่วมเพศ
5. ไม่สมควรจะคุมกำเนิด ( เว้นแต่จำเป็นจริงๆ )
6. ไม่สมควรใช้ปากในการทำรัก

สิ่งที่ ควร
1. ควรเล้าโลมภรรยาก่อน ร่วมกัน
2. เมื่อเสร็จกิจ แล้วควรรอให้เสร็จเหมือนกัน
3. ควรทำเป็นประจำ ประมาณ 4 คืน ต่อ 1 ครั้ง
4. ควรกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ ( บิสมิลลาฮิร เราะหฺมานิร เราะฮีม )
5. ควรมีน้ำละหมาด

ท่าน ชัยค์  อัตติฮามีย์  อัลอิดรีซีย์ อัลหะสะนีย์  กล่าวว่า 
   
   "สุนัตให้ภรรยาแต่งตัวให้สวยงามต่อสามีและใส่น้ำหอม  ท่านนบี (ซ.ล.) กล่าวว่า: "ภรรยาที่ดีเลิศนั้นคือไส่น้ำหอมและสะอาดสะอ้าน"  ท่านซัยยิดินา อะลี  (กัรร่อมัลลอฮุวัจญ์ฮะฮ์) กล่าวว่า "ภรรยาที่ดีเลิศในหมู่พวกท่านนั้น  คือมีกลิ่นหอม  ทำอาหารเก่ง  ซึ่งเมื่อนางใช้จ่าย  ก็จะใช้จ่ายอย่างประหยัด  และเมื่อนางเก็บออม  นางก็เก็บออมอย่างประหยัด  เหล่านั้นคือการงานของอัลเลาะฮ์(ที่พระองค์ทรงสั่งใช้) และการงานของอัลเลาะฮ์นั้น  ย่อมไม่สิ้นหวัง"    ท่านหญิงอาอิชะฮ์กล่าวว่า "เราได้สัมผัสน้ำหอมชะมดเฉียงที่แก้มของพวกเรา(ภรรยานบี)  ดังนั้น เมื่อคนใดจากพวกเรามีเงื่อ   น้ำหอมมันก็จะไหลฉะโลมอยู่บนใบหน้าของเรา  ดังนั้น  ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้เห็น  โดยท่านไม่ได้ตำหนิเลย"   ดู หนังสือ กุรร่อตุลอุยูน หน้า 64 ตีพิมพ์  มักตะบะฮ์ อัลกอฮิเราะฮ์   

ท่าน อัตติฮามีย์  อัลอิดรีซีย์ อัลหะสะนีย์  กล่าวว่า
   
   ท่านอิบนุยามูน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้บอกกล่าวว่า  มารยาทในการร่วมหลับนอนนั้น  คือสามีต้องไม่ร่วมหลับนอนกับภรรยาโดยที่นางสวมเสื้อผ้า  แต่ให้นางถอดออกแล้วเข้าไปอยู่ในผ้าห่มร่วมกัน   เพราะซุนนะฮ์แล้วนั้น  คือการเปลื้องเสื้อผ้าออก  กล่าวคือ  อย่าร่วมหลับนอนโดยที่ทั้งสองเปลือยโล่ง(หมายถึงต้องอยู่ในผ้าห่ม)  ดังกล่าวนั้น  เพราะมีหะดิษระบุว่า "ผู้คนใดจากพวกท่านได้ร่วมหลับนอน  ทั้งสองก็อยว่าเปลือยเฉกเช่นลาสองตัว"  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ในขณะทำการร่วมหลับนอนนั้น  ท่านจะปิดศีรษะ  ปิดเสียง  และกล่าวแก่ภรรยาว่า "เธอจงสงบนิ่งเถิด"  ท่านอัลค๊อฏฏอบ กล่าวว่า "สมควรอย่างยิ่งแก่ผู้ที่ร่วมหลับนอน  ให้เขาและภรรยาทำการปกปิดด้วยผ้าหนึ่งผืน  ไม่ว่าจะหันไปทางกิบลัตหรือไม่ก็ตาม"  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมัดค๊อล ว่า "ไม่สมควรอย่างยิ่ง  ที่ทั้งสองร่วมหลับนอนแบบเปลือยโล่งโดยไม่มีสิ่งใดปกปิดบนทั้งสอง เพราะท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ห้ามและตำหนิสิ่งดังกล่าว  และท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า  ดังกล่าวนั้น  เสมือนกับการกระทำของลาสองตัว  และแท้จริง  ท่านอบูบักร อัศศิดดีก ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ได้ปกปิดศีรษะของท่าน  เนื่องจากความละอายต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา"  ดู หนังสือ กุรร่อตุลอุยูน หน้า 59 

ท่าน อัตติฮามีย์  อัลอิดรีซีย์ อัลหะสะนีย์  กล่าวว่า
   
   ท่านอิบนุยามูน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้บอกกล่าวว่า  เมื่อสามีต้องการจะร่วมหลับนอนกับภรรยา  ก็ให้เขาทำการเล้าโลม  หยอกล้อกับนาง  ด้วยสิ่งที่มุบาห์(อนุมัตให้กระทำได้)  เช่น  การสัมผัส , การกอด , การจูบอื่นจากสองดวงตาของดวง  เพราะดังกล่าวจะนำไปสู่การแยกจากกัน  และสามีต้องไม่ร่วมหลับนอนกับนางในขณะที่นางยังไม่เตรียมใจ  เพราะท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า "เมื่อคนใดจากพวกท่านอย่าร่วมหลับนอนกับภรรยาของตน  เหมือนกับการสมสู่ของสัตว์  แต่จงให้ระหว่างเขาทั้งสองนั้นมีสื่อนำ  จึงถูกถามขึ้นว่า  อะไรหรือสื่อนำหรือครับ?  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า  คือการจูบและการพูดจา(หยอกเย้า)"  และบางสายรายงานกล่าวว่า "เมื่อบุคคลหนึ่งจากพวกท่านได้ทำการร่วมหลับนอน  เขาก็จงอย่าเปลือยกลายเหมือนกับลา(คือต้องมีสิ่งใดปกปิดข้างบนเขาทั้งสอง) และเขาจงมีบทนำด้วยการกระทำที่อ่อนโยน  มีการพูดคุย(หยอกเย้า) และมีการจูบ" 
   
   เคล็บลับในสิ่งดังกล่าว คือ ภรรยานั้นจะชอบให้สามีปฏิบัติเหมือนกับที่เขาชอบให้นางปฏิบัติกับเขา  ดังนั้น  เมื่อสามีต้องการร่วมหลับนอนกับนางในขณะที่ไม่ได้เตรียมพร้อม  แน่นอนว่า  เขาก็เสร็จกิจก่อนนาง  ฉะนั้น  ดังกล่าวจะทำให้นางเป็นทุกข์และทำให้เรื่องศาสนาของนางเสื่อมเสีย  ทั้งที่ความดีงามทั้งหมดนั้นอยู่ในหลักการของซุนนะฮ์  และสามีจะไม่ร่วมหลับนอนกับนางจนกระทั่งมีการพูดคุยหยอกเย้า  สร้างความสนิทสนม  แล้วโอบประคองให้ลงนอน  หลังจากนั้นก็ทำการจูบตามที่เขาต้องการ  และได้มีหะดิษระบุว่า  3  ประการ  ที่มาจากความอ่อนแอ  คือผู้ชายคนหนึ่งได้พบกับผู้ที่เขาจำเป็นต้องรู้จัก  แล้วก็ลาจากเขาไปโดยไม่รู้จักชื่อและเชื้อ ,  พี่น้องของเขาได้ให้เกียรติแก่เขา  แต่เกียรติของเขาถูกปฏิเสธ ,  สามีที่ได้ร่วมหลับนอนกับภรรยาก่อนที่จะทำการพูดคุย  สร้างความสนิทสนม  โอบประคอบให้ลงนอน และเขาก็เสร็จกิจก่อนนาง"

ท่าน อัตติฮามีย์  อัลอิดรีซีย์ อัลหะสะนีย์  กล่าวว่า
   
   ท่านอิบนุยามูน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้บอกกล่าวว่า  ให้สามีทำให้ปากของเขามีกลิ่นหอม  เช่น  ดอกก้านพลู   หมากฝรั่งหอม  และไม้หอมอินเดีย  เป็นต้น  เพราะสิ่งดังกล่าวทำให้มีความรักต่อกัน  และสิ่งดังกล่าวนั้น  ไม่ใช่กระทำเฉพาะในคืนเข้าหอเท่านั้น  แต่สมควรกระทำในเวลาอื่น ๆ ด้วย 
   
   สุนัตให้ภรรยาแต่งตัวให้สวยงามต่อสามีและใส่น้ำหอม ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "ภรรยาที่ดีเลิศนั้นคือไส่น้ำหอมและสะอาดสะอ้าน" ท่านซัยยิดินา อะลี (กัรร่อมัลลอฮุวัจญ์ฮะฮ์) กล่าวว่า "ภรรยาที่ดีเลิศในหมู่พวกท่านนั้น คือมีกลิ่นหอม ทำอาหารเก่ง ซึ่งเมื่อนางใช้จ่าย ก็จะใช้จ่ายอย่างประหยัด และเมื่อนางเก็บออม นางก็เก็บออมอย่างประหยัด เหล่านั้นคือการงานของอัลเลาะฮ์(ที่พระองค์ทรงสั่งใช้) และการงานของอัลเลาะฮ์นั้น ย่อมไม่สิ้นหวัง" ท่านหญิงอาอิชะฮ์กล่าวว่า "เราได้สัมผัสน้ำหอมชะมดเฉียงที่แก้มของพวกเรา(ภรรยานบี) ดังนั้น เมื่อคนใดจากพวกเรามีเงื่อ น้ำหอมมันก็จะไหลฉะโลมอยู่บนใบหน้าของเรา ดังนั้น ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เห็น โดยท่านไม่ได้ตำหนิเลย" ดู หนังสือ กุรร่อตุลอุยูน หน้า 64 ตีพิมพ์ มักตะบะฮ์ อัลกอฮิเราะฮ์ 

ข้อห้ามในการหลับนอนระหว่างสามีภรรยา อิสลามว่าไว้อย่างไร

ท่าน อัตติฮามีย์ อัลอิดรีซีย์ อัลหะสะนีย์ กล่าวว่า
    ท่านอิบนุยามูน (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้บอกกล่าวว่า ไม่อนุญาตให้เจ้าบ่าวให้เงินแก่เจ้าสาวเพื่อให้นางแก้ปมผ้านุ่งของนาง เพราะดังกล่าวนั้น คล้ายกับซินา ดังนั้น ผู้มีสติปัญญาโปรดระวังสิ่งดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับซุนนะฮ์ที่บริสุทธิ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมัดค๊อล ว่า "แท้จริง ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นในเมืองฟาซฺ คือเมื่อสามีต้องการร่วมหลับนอนกับภรรยา เขาจะมอบเงินให้แก่นางก่อนที่จะแก้ปมผ้านุ่งของนาง ดังนั้น บรรดาอุลามาอ์ได้ล่วงรู้สิ่งดังกล่าว พวกเจาจึงกล่าวว่า อันนี้เหมือนกับการทำซินา พวกเขาจึงห้ามมัน" ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อันนะซีฮะห์ ว่า "สามีต้องไม่มอบสิ่งใดแก่นางในขณะที่ต้องการจะร่วมหลับนอน เพราะมันคล้ายกับการทำซินา และการแก้ปมผ้านุ่งนั้นเป็นที่ทราบกันดีจากการกระทำของชาวมัฆริบ(โมร๊อคโค)บางส่วน"

ท่าน อัตติฮามีย์  อัลอิดรีซีย์ อัลหะสะนีย์  กล่าวว่า
   
   อัสสะรอวีล  السراويل (ผ้าโสร่งผ้าถุงที่ปิดระหว่างสะดือจนถึงหัวเขา)  สมควรใช้สำหรับเจ้าสาวและเจ้าบ่าว ยิ่งกว่านั้น สมควรอย่างยิ่งสำหรับสตรี  เพราะมีหะดิษระบุว่า "มีสตรีคนหนึ่งได้เป็นลมในสมัยของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จากนั้นก็นางก็ถูกเปิด(เพื่อให้คลายความอึดอัดแก่ผู้ป่วย)  ทันใดนั้น  ได้เห็นนางนุ่งผ้าสะรอวีล   ดังนั้น  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จึงกล่าวว่า  ขออัลเลาะฮ์ทรงประทานความเมตตาแก่บรรดาสตรีที่เป็นประชากรของฉันเนื่องจากนุ่งผ้าสะรอวีล
   
   ท่านอิบนุก๊อยยิม  กล่าวว่า  "ได้รายงานจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ว่า  แท้จริง  ท่านได้สวมใส่สะรอวัล และบรรดาซอฮาบะฮ์ก็ทำการสวมใส่ในสมัยของท่านและด้วยการอนุญาตของท่าน" 
   
   นักปราชญ์บางส่วนกล่าวว่า  จากสิ่งที่ให้น้ำหนักว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้นุ่งสะรอวีลและได้ใช้ให้นุ่งสะรอวีล  คือได้มีการนำเสนอรายงานโดยท่าน อัลอุกัยลีย์ , ท่านอิบนุอะดีย์ ไว้ในหนังสืออัลกามีล , และท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้นำเสนอไว้ในหนังสือ อัลอาดาบ  จากท่านอะลี  โดยรายงานอ้างถึงท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า "พวกท่านจงสวมใส่สะรอวีล  เพราะมันจะทำให้เครื่องสวมใส่ของพวกท่านมีความมิดชิด  และปกป้องบรรดาสตรีของพวกท่านได้เมื่อพวกนางได้ออกเดินทาง"  ซึ่งได้กล่าวหะดิษนี้ไว้ในหนังสือ  อัลญาเมี๊ยะอฺ   ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ กล่าวไว้ในหนังสือ  อัลเอาลิยาอ์  ความว่า "บุคคลแรกที่ทำการสวมใส่สะรอวีล  คือท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม  ซึ่งได้นำเสนอรายงานไว้โดยท่านวะเกี๊ยะอฺ  ในตัฟซีรของท่านจากอบูฮุร๊อยเราะฮ์" 

ท่าน อัตติฮามีย์  อัลอิดรีซีย์ อัลหะสะนีย์  กล่าวว่า
   
   ในขณะที่หลั่งหรือใกล้จะหลั่งนั้น  สุนัติให้สามีอ่านอายะฮ์ต่อไปนี้ในใจโดยไม่ต้องกระดิกริมฝีปากว่า
   
   وَهُوَ الَّذِي خَلَقَ مِنَ الْمَاء بَشَراً فَجَعَلَهُ نَسَباً وَصِهْراً وَكَانَ رَبُّكَ قَدِيراً 
   
   "และพระองค์ทรงบันดาลมนุษย์มาจากน้ำ(อสุจิ) แล้วทรงบันดาลเขามีการสืบสายตระกูลและมีการเกี่ยวดองกันและองค์อภิบาลของเจ้าทรงเดชานุภาพยิ่งนัก"  อัลฟุรกอน 54
   
   เมื่อสามีหลั่งก่อนภรรยา  ก็ให้สามีทำการประวิงเวลาจนกระทั่งนางหลั่ง  เพราะดังกล่าวนั้นเป็นซุนนะฮ์   มีหะดิษระบุว่า  "พวกท่านจงทำให้พวกนางพอใจเถิด  เพราะความพอใจของพวกนางนั้นคือในเรื่องเพศของพวกนาง(หมายถึงการร่วมหลับนอนกับพวกนาง)"  และมีหะดิษระบุอีกว่า "อารมณ์นั้นมีอยู่ 10 ส่วน  9 ส่วนเป็นของสตรี และส่วนที่ 10 เป็นของบุรุษ  นอกจากเสียว่าอัลเลาะฮ์ทรงปกปิดพวกนางด้วยความละอาย"

   ท่านอิบนุอามูนกล่าวว่า  เจ้าสาวนั้น  ภายในเจ็ดวันห้ามรับประทาน  น้ำส้ม , ผักชี ,  นม , แอ๊ปเปิ้ลเปรี้ยว  และทุกอย่างที่มีรสเผ็ดร้อนและขม  เช่น  ถั่ว , มะกอก  ถั่วปากเหนี่ยว  ถั่วฝักยาว  เพราะสิ่งดังกล่าวนั้นให้อารมณ์ตายด้าน  และทำให้เกิดการไม่ตั้งครรภ์ขึ้นได้  และจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่จากการแต่งงาน  ก็คือลูก  เพราะท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า  "พวกท่านจงแต่งงาน  แล้วพวกท่านก็จะได้สืบพันธ์แพร่หลาย  เพราะแท้จริงฉันนั้นจะมีประชากรมากมายด้วยกับพวกท่านในวันกิยามะฮ์"  และสิ่งที่สมควรรักประทานนั้นคือ  เนื้อไก่ , ผลซะฟัรญัล, ทับทิม , แอ๊บเปิ้ลหวาน , และอื่น ๆ
   
   สมควรสำหรับภรรยาให้ทำการเคี้ยวลุบาน(หมากฝรั่งที่ทำมาจากต้นกำยาน)  เพราะท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "โอ้บรรดาสตรีตั้งครรภ์ทั้งหลาย  พวกเธอจงให้อาหารบรรดาบุตร(ในครรภ์)ของพวกเธอด้วยลุบาน  เพราะมันจะเพิ่มสติปัญญา  ลดเสมหะ  ทำให้มีความจำดี  และทำให้ความหลงลืมหายไป"  และให้รับประทานซะฟัรญัล เพราะท่านยะห์ยา บิน ยะห์ยา ได้รายงานจาก คอลิต บิน เมี๊ยะอฺดาน  ว่า "พวกท่านจงกินซะฟัรญัลซิ เพราะมันจะทำให้บุตรหล่อสวยงาม"  มีรายงานว่า "ชนกลุ่มหนึ่งได้ร้องทุกข์ต่อนบีของพวกเขาถึงความน่าเกลียดของบุตรหลานพวกเขา  ดังนั้นอัลเลาะฮ์จึงดนใจมายังท่านนบีว่า  เจ้าจงใช้ให้พวกเขาบรรดาภรรยาที่ตั้งครรค์ในเดือนที่สามและเดือนที่สี่ทำการรับซะฟัรญัลเถิด"  และสมควรให้ห่างไกลจากอาหารที่ไม่มีประโยชน์และอาหารที่ผสมกันหลายอย่าง
   
   มีรายงานว่า  บ้านใดที่รมด้วยกำยาน  คนอิจฉาริษยา , หมอดู , ชัยฏอน , และนักไสยศาสตร์จะไม่เข้าใกล้บ้านหลังนั้น 

   ท่านอิบนุยามูนกล่าวว่า  มารยาทในการร่วมหลับนอนนั้น  คือต้องหลังจากที่มีการเล้าโลมและจูบจนกระทั่งทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยสำหรับการร่วมหลับนอน  เพราะท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "คนใดจากพวกท่านอย่าร่วมหลับนอนกับภรรยาของเขาเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน  แต่ต้องให้ระหว่างทั้งสองนั้นมีสื่อ  จึงถูกถามว่า อะไรคือสื่อครับ? ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ กล่าวว่า มันก็คือการจูบและการพูดจา(หยอกเย้าเอาใจ) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  และส่วนหนึ่งจากมารยาทในการร่วมหลับนอนคือต้องหลังจากท้องและส่วนอวัยวะต่าง ๆ มีความผ่อนคลาย เพราะในการร่วมหลับนอนด้วยอวัยวะไม่ผ่อนคลายนั้น(เช่นแน่พุง)ก็จะทำให้เกิดโทษเป็นอย่างมาก  และทำจะทำให้ข้อกระดูกต่าง ๆ เจ็บ และอื่น ๆ ดังนั้นหากต้องการรักษาสุขภาพตนเองเขาก็จงระวังในสิ่งดังกล่าว
   
   กล่าวกันว่า  สามประการ  ซึ่งบางครั้งมันจะมาทำลาย  คือร่วมหลับนอนในขณะหิว  ร่วมหลับนอนในขณะอิ่ม  และร่วมหลับนอนหลังจากรับประทานเนื้อตากแห้ง 

ข้อห้ามในการหลับนอนระหว่างสามีภรรยา อิสลามว่าไว้อย่างไร

   ท่านอิบนุอามูน  กล่าวว่า  การร่วมหลับนอนระหว่างสามีภรรยานั้น  ถูกห้ามในขณะที่มีประจำเดือน  เพราะอัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับ(ปัญหาของ) ประจำเดือน  เจ้าจงตอบเถิดว่า  อันประจำเดือนนั้นเป็นความสกปรกอย่างหนึ่ง  ดังนั้นพวกเจ้าจงแยกตัวออกจากสตรี(ผู้เป็นภรรยา)ในช่วงมีประจำเดือนเถิด" อัลบะกอเราะฮ์ 222  บางทัศนะกล่าวว่า  ความหมายของมันก็คือ  พวกท่านจงห่างจากอวัยวะเพศของพวกนาง  ซึ่งเป็นทัศนะคำกล่าวของท่านหญิงหัฟเซาะฮ์  และได้ถูกรายงานจากท่านมุญาฮิด  และเป็นทัศนะที่ท่านอัสบัฆยึดถือ  และได้ถูกรายงานจากท่านอิมามอัชชาฟิอีย์และท่านอิกริมะฮ์เช่นกัน   และบางทัศนะกล่าวว่า  หมายถึงห่างไกลจากที่นอนของพวกนาง  ซึ่งเป็นทัศนะที่ถูกรายงานจากท่านอิบนุอับบาสและท่านอิบนุอับบาสก็ทำการแยกที่นอนกับภรรยาของท่านในขณะที่มีประจำเดือน  ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงทราบถึงน้าสาวของท่านคือท่านหญิงมัยมูนะฮ์  ท่านนางจึงกล่าวกับท่านอิบนุอับบาสว่า  ท่านไม่ปรารถนาซุนนะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กระนั้นหรือ?  ขอสาบานว่า แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นอนพร้อมกับบรรดาภริยาของท่านในขณะที่มีประจำเดือนโดยที่ระหว่างท่านและนางนั้นมีผ้าปิดจนพ้นสองหัวเขา  และบางทัศนะกล่าวว่า  สิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้านุ่งของพวกนาง  ซึ่งเป็นทัศนะที่เลื่องลือของท่านอิมามมาลิก  เหมือนที่ได้ระบุไว้ในหะดิษซอฮิห์ความว่า "ผู้มีประจำเดือนนั้น  จงผูกผ้าให้แน่นและส่วนเรื่องของท่านนั้นคือข้างบนของนาง(จากสะดือขึ้นไป)"   
   
   และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า "จนกว่าพวกนางจะสะอาด" อัลบะกอเราะฮ์ 222 หมายถึง  จนกระทั่งพวกนางได้เห็นเครื่องหมายของความสะอาดแล้ว จากเลือดหยุดหรือเลือดแห้ง "ดังนั้นเมื่อพวกนางสะอาดแล้ว" อัลบะกอเราะฮ์ 222 หมายถึง สะอาดด้วยการอาบน้ำตามทัศนะที่เลื่องลือ  "พวกเจ้าก็จงเข้าหาพวกนางเถิดตามที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงบัญชาแก่พวกเจ้า" อัลบะกอเราะฮ์ 222 หมายถึง  ร่วมหลับนอนกับนางทางด้านหน้าไม่ใช่ทางทวารด้านหลัง , และหลักการของนิฟาส(เลือดที่ออกมาหลังจากคลอดบุตร)ก็เหมือนกับหลักการของเลือดประจำเดือนโดยทั้งหมด
   
   ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ชัรห์ อัลอุมดะฮ์  ว่า "ห้ามทำการร่วมหลับนอนในขณะมีประจำเดือนนั้น  ถือว่าเป็นอิบาดะฮ์ , หมายถึงเรื่องของเลือดนิฟาสก็เช่นเดียวกันกับเลือประเดือน เพราะมันมีหลักการเหมือนกัน"
   
   ในหนังสือ  อัลกุสตุลลานีย์  กล่าวว่า "การร่วมประเวณีในขณะมีประจำเดือนนั้น  เป็นสิ่งที่ต้องห้าม  โดยมติของปวงปราชญ์  ดังนั้นผู้ใดที่เชื่อมั่นว่า  การร่วมประเวณีในขณะมีประจำเดือนเป็นสิ่งที่อนุญาต  เขาย่อมเป็นกาเฟร" 

    ได้ถูกรายงานว่า  มีชายและหญิงคู่หนึ่ง  ได้ขัดแย้งกันเกี่ยวกับบุตรชายของทั้งสองที่มีผิวดำ  ฝ่ายหญิงกล่าวว่า  เขาคือบุตรของท่าน  แต่ฝ่ายชายให้การปฏิเสธ  ดังนั้นท่านนบีสุไลมาน อะลัยฮิสลาม  กล่าวว่า  ทั้งสองได้ร่วมหลับนอนในขณะมีประจำเดือนหรือไม่? ฝ่ายชายกล่าวว่า  ครับ  ท่านนบีสุไลมานจึงกล่าว  บุตรคนนี้เป็นของท่าน และแท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงทำให้ใบหน้าของเขาดำเพื่อลงโทษท่านทั้งสอง  ซึ่งกล่าวกันว่า  มันคือจุดมุ่งหมายของคำตรัสของอัลเลาะฮ์  ที่ว่า "แล้วเราได้ให้ความเข้าใจใน (หลักการตัดสิน) นั้น แก่สุไลมาน" อัลอัมบิยาอฺ 87  และกล่าวสิ่งเหล่านี้ไว้ในหนังสือกุชฟุลอิสร๊อร
   
   ท่านอัฏฏ๊อบรีนีย์ ได้รายงานไว้ในหนังสือ อัลเอาซัฏ  จากอบูฮุร๊อยเราะฮ์  โดยอ้างถึงท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่า "ผู้ใดที่ร่วมหลับนอนกับภรรยาของเขา โดยที่นางมีประจำเดือน  ดังนั้นใด้ถูกกำหนดให้มีบุตรระหว่างทั้งสอง  แล้วบุตรของเขาก็ประสบโรคเรื้อน  ดังนั้นเขาอย่าตำหนิ(ผู้ใดเลย)นอกจากตัวเขาเอง" หมายถึง เพราะเป็นสาเหตุจากเขาเองในสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรของเขานั้น  และเขาอย่าไปตำหนิอัลเลาะฮื  เพราะเพราะพระองค์ได้เตือนให้ระวังแล้ว
   
   ท่านอิมามอัลฆอซาลีย์ กล่าวว่า "การร่วมหลับนอนในขณะที่มีประเดือนหรือมีเลือดหลังจากการคลอดบุตรนั้น ทำให้เกิดโรคเรื้อนแก่เด็ก  ท่านอิมามอะห์มัด และคนอื่น ๆ ได้รายงานจากท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ โดยยกอ้างไปยังท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยวะซัลลัม ว่า "ผู้ใดที่ไปหาหมอดู แล้วเขาก็เชื่อในสิ่งที่หมอดูพูด หรือร่วมหลับนอนกับผู้มีประจำเดือน หรือร่วมประเวณีกับภรรยาทางทวารหนัก แท้จริงเขาได้หลุดพ้นจากสิ่งที่ถูกประทานลงมาให้แก่มุฮัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม" หมายถึง หากเขาเชื่อว่าดังกล่าวเป็นสิ่งที่อนุมัติ หรือท่านนบีต้องการที่จะพูดหักห้ามหรือเตือนให้ระวัง  หะดิษนี้ไม่ใช่มีจุดมุ่งหมายถึงการกุฟุรจริงๆ  หากไม่เช่นนั้นแล้ว  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็ไม่ใช้ให้ผู้ร่วมหลับนอนกับผู้มีประจำเดือนทำการเสียค่าปรับ(กัฟฟาเราะฮ์) ตามที่ท่านอัลมุนาวีย์ได้กล่าวไว้  ดังนั้น  ในหะดิษของท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์  ซึ่งรายงานจากท่านอิบนุอับบาส  โดยยกอ้างถึงท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า "ผู้ใดที่ร่วมหลับนอนกับภรรยาในขณะมีประจำเดือน  ดังนั้น  เขาก็จงบริจาคทานเหรียญทองหนึ่งดีนาร  และผู้ใดที่ร่วมหลับนอนกับภรรยา (ขณะมีประจำเดือนแต่) เลือดประจำเดือนได้ผ่านพ้นจากนางพอดี  ก็ให้เขาบริจาคครึ่งของเหรียญทองดีนาร"
   คำว่า "เขาจงบริจาคทาน" นั้น  บางทัศนะกล่าวว่า เป็นวายิบ และบางทัศนะกล่าวว่า เป็นสุนัต  และเช่นเดียวกันนี้  คือห้ามการร่วมหลับนอน หากเวลาละหมาดกระชั้นชิด โดยที่ว่า หากเขาทำการร่วมหลับนอน และทำการอาบน้ำ  เขาก็จะไม่ได้เวลาละหมาด  ดังนั้น หากเขาได้กระทำ  เขาก็จงเตาบะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา

ท่านอิบนุยามูน ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  การร่วมหลับนอนนั้น  ถูกห้ามในสี่คืน  คือคืนวันอีดอัฏฮา  เพราะถูกกล่าวว่า  การร่วมหลับนอนในคืนอีดอัฏฮานั้นทำให้ลูกเป็นผู้ชอบนองเลือด  และคืนแรกของทุก ๆ เดือน  และคืนช่วงกลางเดือนของทุก ๆ เดือน  และคืนสุดท้ายของทุก ๆ เดือน  เพราะท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "ท่านอย่าร่วมหลับนอนในคืนของต้นเดือนและคืนของกลางเดือน" 
ท่านอิมามอัลฆอซาลี ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า "มักโระฮ์กับร่วมหลับนอนในสามคืน  ช่วงแรกของคืน , ช่วงท้ายของคืน , และช่วงกลางของเดือน  ถูกกล่าวว่า  บรรดาชัยฏอนนั้นจะมาอยู่ร่วมในขณะที่ร่วมหลับนอนในค่ำคืนเหล่านี้  และกล่าวกันว่า  บรรดาชัยฏอนก็จะทำการร่วมหลับนอนในค่ำคืนเหล่านี้เช่นกัน  และได้รายงานกับการมักโระฮ์สิ่งดังกล่าว จากท่านอะลี , ท่านมุอาวียะฮ์ , และท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ ร่อฮิยัลลอฮุอันฮุม  และถูกกล่าวว่า  การร่วมหลับนอนในค่ำคืนเหล่านี้  จะทำให้บุตรมีสติฟั่นเฟือน
แต่ทว่าการห้ามจากค่ำคืนเหล่านี้ อยู่ในความหมายของมักโระฮ์ไม่ใช่หะรอม

ท่านอิบนุยามูน ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  โปรดระวังการร่วมหลับนอนในขณะที่หิว , กระหาย , และโกรธเคือง  เพราะมันจะทำให้ลดพละกำลัง ตามที่ท่านอัรรอซีย์กล่าวไว้ , และในขณะที่ดีใจจนเกินเลยเพราะอาจจะทำให้หน้ามืด และในขณะที่อิ่มจนเพราะมันจะทำให้กระดูกข้อต่อตามร่างกายเจ็บ  และเช่นเดียวกันนี้  คือถัดจากการอดหลับอดนอนหรือมีความโศรกเศร้าเพราะมันจะทำให้ลดกำลัง และเช่นเดียวกันนี้  ก่อนจากร่วมหลับนอน  ไม่สมควรอาเจียร , ท้องร่วง , เกิดอาการเหน็ดเหนื่อย , สูญเสียเลือด , ปัสสาวะมาก , หรือประเภทใดประเภทหนึ่งของการสำรอกอาเจียน เพราะมันจะทำให้เกิดโทษตามที่ท่านอัรรอซีย์ได้กล่าวไว้...วัลลอฮุอะลัม
ท่านอัรรอซีย์ กล่าวว่า  ผู้ร่วมหลับนอนต้องระวังการร่วมหลับนอนในช่วงอากาศร้อนและช่วงอากาศเย็น  และสมควรร่วมหลับนอนให้น้อยในช่วงฤดูร้อยและฤดูหนาว  เพราะสมควรทิ้งการร่วมหลับนอนให้น้อยในช่วงเวลาที่อากาศไม่ดีและช่วงเกิดโรคระบาด

ท่านอิบนุยามูน ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  โปรดระวังการร่วมหลับนอนในขณะที่หิว , กระหาย , และโกรธเคือง  เพราะมันจะทำให้ลดพละกำลัง ตามที่ท่านอัรรอซีย์กล่าวไว้ , และในขณะที่ดีใจจนเกินเลยเพราะอาจจะทำให้หน้ามืด และในขณะที่อิ่มจนเพราะมันจะทำให้กระดูกข้อต่อตามร่างกายเจ็บ  และเช่นเดียวกันนี้  คือถัดจากการอดหลับอดนอนหรือมีความโศรกเศร้าเพราะมันจะทำให้ลดกำลัง และเช่นเดียวกันนี้  ก่อนจากร่วมหลับนอน  ไม่สมควรอาเจียร , ท้องร่วง , เกิดอาการเหน็ดเหนื่อย , สูญเสียเลือด , ปัสสาวะมาก , หรือประเภทใดประเภทหนึ่งของการสำรอกอาเจียน เพราะมันจะทำให้เกิดโทษตามที่ท่านอัรรอซีย์ได้กล่าวไว้...วัลลอฮุอะลัม
ท่านอัรรอซีย์ กล่าวว่า  ผู้ร่วมหลับนอนต้องระวังการร่วมหลับนอนในช่วงอากาศร้อนและช่วงอากาศเย็น  และสมควรร่วมหลับนอนให้น้อยในช่วงฤดูร้อยและฤดูหนาว  เพราะสมควรทิ้งการร่วมหลับนอนให้น้อยในช่วงเวลาที่อากาศไม่ดีและช่วงเกิดโรคระบาด 
ท่านชัยค์ อัซซัรรูก ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อันนะซีฮะฮ์ อัลกาฟียะฮ์ ว่า "ตามสิทธิของนาง  ที่สามีสนองให้กับนางนั้น  สองครั้งแต่สัปดาห์  และการร่วมหลับนอนเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ชายที่ร่วมแบบปกติปานกลางนั้น คือสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง"

ท่านซัยยิดินาอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ปฏิบัติกิจเพียงแค่หนึ่งครั้งในช่วงที่เกลี้ยงจากประจำเดือน  เพราะว่าช่วงเกลี้ยงประจำเดือนนั้นทำให้นางตั้งครรภ์และทำให้นางบริสุทธิ์จากความชั่วโดยแต่งงานแล้ว  แต่ว่า  สมควรเพิ่มและลดตามที่นางต้องการในความบริสุทธิ์  เพราะการยืนยันความบริสุทธิ์ของนางจากความชั่วนั้นเป็นสิ่งจำเป็นบนสามี และไม่สมควรแก่สามีทำการร่วมหลับนอนกับภรรยาให้น้อยจนเกินไปจนกระทั่งเกิดความเดือนร้อนแก่นาง และอย่าให้มากจนเกินไปจนเกิดความเบื่อหน่าย
ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อันนะซีฮะฮ์  ว่า "สามีอย่าร่วมหลับนอนกับภรรยามากเกินไปจนนางาเบื่อหน่ายและอย่าน้อยเกินไปจนนางเดือดร้อน .  ดังนั้นหากภรรยาเรียกร้องการร่วมหลับนอน  ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัตเตาฮีหฺ ว่า  ให้สามีทำการสนองแก่นางสี่ครั้งในตอนกลางคืนและสี่ครั้งในหนึ่งวัน และไม่อนุญาตให้งดเว้นในกรณีนี้โดยปราศจากอุปสรรค  เพราะมีหะดิษของท่านอิบนุอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า "มีสตรีคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ดังนั้น นางกล่าวว่า  โอ้ ร่อซูลัลลอฮ์  อะไรคือสิทธิจำเป็นของภรรยาที่มีต่อสามี? ท่านนบีกล่าวว่า "คือนางจะไม่ต้องหักห้ามตัวเอง  หากแม้นนางจะอยู่บนหลังหลังอานม้า" 
และคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ความว่า "เมื่อสามีได้เรียกให้ภรรยาไปยังที่นอน  แล้วนางก็ปฏิเสธ  บรรดามะลาอิกะฮ์ก็จะสาปแช่งนาง(ขอดุอาอ์ให้นางห่างไกลจากความเมตตา)จนกระทั่งถึงเช้า" 
และย่อมไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ ที่นางจะกังวลเกี่ยวบุตรของเธอที่จะดื่มนม เพราะน้ำอสุจิ(ของฝ่ายชาย) จะ(เป็นสาเหตุ) ทำให้น้ำนมเพิ่มทวีคูณ

ที่มา: www.sunnahstudent.com

อัพเดทล่าสุด