การเดินทางของวิญญาณในทัศนะอิสลาม


50,349 ผู้ชม

วิญญาณเป็นสิ่งเร้นลับที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่มนุษย์รู้ว่าตัวเองมีวิญญาณอยู่ก็เพราะว่าตัวเองมีชีวิต เมื่อวิญญาณออกจากร่างกายมนุษย์ไป ก็หมายถึงวาระของวิญญาณในโลกนี้จบสิ้นลง


การเดินทางของวิญญาณในทัศนะอิสลาม

บทความโดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน

วิญญาณเป็นสิ่งเร้นลับที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่มนุษย์รู้ว่าตัวเองมีวิญญาณอยู่ก็เพราะว่าตัวเองมีชีวิต เมื่อวิญญาณออกจากร่างกายมนุษย์ไป ก็หมายถึงวาระของวิญญาณในโลกนี้จบสิ้นลง การตายจึงเป็นแค่การสิ้นสุดขั้นตอนการเดินทางของมันโลกนี้เท่านั้น วิญญาณเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออาณาจักรวิทยาศาสตร์ นานมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์พยายามจะศึกษาว่าวิญญาณเป็นอะไร  เป็นคลื่นไฟฟ้าหรือว่าคลื่นแม่เหล็ก เป็นคลื่นพลังงาน หรือคลื่นความร้อน หรือคลื่นแสง  หรืออะไรต่อมิอะไรมากมายหลายข้อสันนิษฐาน

นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะค้นหาความจริงในเรื่องนี้จนถึงกับเอาคนไข้ใกล้เสียชีวิตมานอนในโลงแก้วที่ปิดผนึกอย่างดีและให้อากาศแก่คนไข้หายใจจนวินาทีสุดท้าย แต่เมื่อคนไข้เสียชีวิต เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์นานาชนิดที่ตั้งอยู่ในห้องทดลองก็ไม่สามารถจับได้ว่า วิญญาณเป็นอะไรจนกระทั่งทุกวันนี้

การเดินทางของวิญญาณในทัศนะอิสลาม

ภาพประกอบเท่านั้น

ในระหว่างสมัยของนบีมุฮัมมัด ชาวยิวแห่งมะดีนะฮฺได้ส่งคนมาถามท่านเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ประทานคัมภีร์กุรอานตอนหนึ่งลงมายังท่านเพื่อเป็นคำตอบว่า : พวกเขาถามเจ้า (มุฮัมมัด)เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ จงบอกพวกเขาว่า วิญญาณนั้นมาโดยคำบัญชาของพระผู้อภิบาลของฉัน และความรู้ที่พวกท่าน(มนุษย์)ได้รับนั้นมีน้อยมาก (กุรอาน 17:85) 

สรุปคือ ไม่ว่ามนุษย์จะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากเท่าใด มนุษย์ก็มีความรู้เรื่องวิญญาณน้อยมากเพราะมนุษย์ไม่ได้สร้างวิญญาณ วิญญาณมาโดยคำบัญชาของพระเจ้าต่างหาก มนุษย์จะรู้เรื่องของวิญญาณก็โดยทางศาสดาของพระองค์เท่านั้น การหมกมุ่นศึกษาเรื่องวิญญาณไม่อาจทำให้มนุษย์ได้รับความรู้อะไรมากกว่าที่พระเจ้าเปิดเผยให้ แต่สิ่งสำคัญและเป็นการดีกว่าที่มนุษย์ควรจะทำก็คือการหาวิธีรักษาวิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ให้สะอาดหมดจดขณะที่อยู่ในโลกนี้เพื่อความรอดพ้นจากการถูกลงโทษในโลกหน้า 

วิญญาณ มีอยู่ก่อนมนุษย์จะเกิดเราทราบจากคัมภีร์กุรอานว่าเมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์คนแรกขึ้นมาในอาณาจักรของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงเป่าวิญญาณเข้าไปในดินซึ่งทำให้ชีวิตของอาดัมกำเนิดขึ้นมา และพระเจ้าได้ทรงเตรียมวิญญาณของมนุษย์ทั้งหมดที่จะมาจุติบนโลกนี้ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายไว้แล้วซึ่งเราไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าใด เมื่ออาดัมและอีฟมาอยู่ในโลกนี้ การส่งวิญญาณมาจุติบนโลกก็ทำในช่วงหลังจากที่สเปิร์มของผู้ชายปฏิสนธิกับก้อนเลือดในครรภ์ของผู้หญิงแล้ว โลกที่สองของวิญญาณจึงเป็นโลกในครรภ์ของมารดาซึ่งมีช่วงเวลาประมาณ 9 เดือน ครรภ์มารดา : โลกที่สอง

นบีมุฮัมมัดได้เคยพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณในครรภ์ของมารดาไว้เมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้วว่า แท้จริงแล้ว การสร้างพวกท่านแต่ละคนถูกนำมารวมกันในท้องของแม่เขาเป็นเวลา 40วันในรูปของก้อนเล็กๆก้อนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็เป็นก้อนเลือดในระยะเวลาเท่าๆกัน หลังจากนั้นก็เป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งในระยะเวลาเท่าๆกัน หลังจากนั้น ทูตสวรรค์(มลาอิกะห์)องค์หนึ่งก็ถูกส่งมายังเขาเพื่อเป่าลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปในตัวเขา....

การเดินทางของวิญญาณในทัศนะอิสลาม

ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการอิสลามจึงได้สรุปจากคำพูดดังกล่าวข้างต้นว่าเนื่องจากทูตสวรรค์ได้เป่าวิญญาณเข้าไปในตัวอ่อนเมื่อมีอายุได้ 120 วัน ดังนั้น การทำแท้งโดยมีเหตุผลทางการแพทย์ที่เข้มงวดจะเป็นที่อนุญาตก็ต่อเมื่อตัวอ่อนมีอายุยังไม่ถึง 4 เดือน ทันทีที่วิญญาณได้ถูกเป่าเข้าไปในตัวอ่อนแล้ว มันก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิต การทำลายชีวิตมันจึงเป็นการฆาตกรรม โลกที่สาม โลกชั่วคราว

เมื่อวิญญาณถูกเป่าเข้าไปในตัวอ่อนและมีพัฒนาการเป็นรูปร่างมนุษย์แล้ว วิญญาณก็จะอาศัยเรือนร่างของมนุษย์เป็นพาหนะเดินทางผ่านโลกที่สองออกมาสู่โลกที่สามโดยการคลอด ขณะที่สมองของทารกยังพัฒนาไปไม่ถึงวุฒิภาวะที่จะสามารถแยกผิดแยกถูกได้ หากทารกนั้นเสียชีวิตไป ชีวิตนั้นก็ไม่ต้องรับบาป เพราะอิสลามถือว่ามนุษย์ทุกชีวิตเกิดมาในสภาพที่สะอาดบริสุทธิ์ พ่อแม่ของเด็กต่างหากที่เป็นผู้หล่อหลอมให้ลูกของตัวเองเป็นอะไร ต่อเมื่อบรรลุถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว ความรับผิดชอบในบาปบุญคุณโทษจึงจะเริ่มต้น วัยผู้ใหญ่สำหรับเด็กผู้ชายตามหลักการอิสลามเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเด็กผู้ชายเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ และสำหรับเด็กผู้หญิงเริ่มต้นเมื่อมีประจำเดือนครั้งแรก ก่อนที่วิญญาณจะเข้ามาสู่ร่างกาย วิญญาณไม่กินไม่ดื่ม ไม่มีความต้องการทางเพศ

การเดินทางของวิญญาณในทัศนะอิสลาม

แต่เมื่อวิญญาณเข้ามาอยู่ในเนื้อหนังร่างกายมนุษย์ ที่มีความต้องการเยี่ยงสัตว์ การต่อสู้ของชีวิตที่ประกอบไปด้วยร่างกายและวิญญาณจึงเริ่มขึ้น เมื่อลิ้นสัมผัสรสก็อยากกิน เมื่อมือสัมผัสของสวยงามหรือของมีค่าก็อยากได้ เมื่อตาเห็นของสวยงามก็อยากมอง โลกนี้ซึ่งเป็นโลกชั่วคราวจึงเป็นเวทีแห่งการทดสอบมนุษย์ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร สิ่งใดเป็นที่ต้องห้ามและสิ่งใดเป็นที่อนุมัติ อะไรเป็นความจริงและความเท็จ อะไรดีอะไรชั่วนั้นเป็นที่เปิดเผยเฉลยให้แล้วโดยบรรดาศาสดาต่างๆของพระเจ้า มนุษย์มีหน้าที่เพียงใช้สติปัญญาและเสรีภาพในการตัดสินใจ

ดังนั้น เมื่อรู้ข้อสอบแล้ว แต่กลับไม่เลือกทำข้อที่ถูก มนุษย์ก็ต้องรับผิดชอบเอง โลกนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์จะต้องรักษาวิญญาณของตนให้สะอาดโดยการใช้ชีวิตไปตามคำสอนของศาสดาเพราะมันสิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของมนุษย์ในโลกหลังความตาย โลกที่สี่ โลกแห่งสุสาน

ความตายคือการที่วิญญาณออกจากร่างมนุษย์ แต่ความตายมิได้หมายถึงการสิ้นสุดของชีวิต หากแต่มันเป็นจุดที่วิญญาณสิ้นสุดการเดินทางของมันบนโลกนี้โดยทิ้งเนื้อหนังร่างกายที่เป็นพาหนะของมันไว้เบื้องหลัง วิญญาณจะผ่านมิติแห่งโลกวัตถุไปสู่โลกอันเร้นลับอีกโลกหนึ่งซึ่งเรียกว่า โลกแห่งสุสาน ในภาษาอาหรับเรียกว่า บัรซัค ซึ่งหมายถึงสิ่งที่คั่นกลาง นั่นคือคั่นกลางระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า โลกแห่งสุสานเป็นโลกแห่งการพักชั่วคราว พักจนกว่าวาระสุดท้ายของโลกจะสิ้นสุดเพื่อรอมนุษย์ทุกคนถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมารับการพิพากษาจากพระเจ้า ระหว่างที่รอคอยอยู่นี้

ทุกดวงวิญญาณจะถูกสอบถามว่ารู้จักพระเจ้าผู้ส่งมันมาหรือไม่เพราะก่อนที่มันจะถูกส่งมา วิญญาณทุกดวงได้ยืนยันแล้วว่าผู้ส่งมันมาคือพระเจ้า หลังจากนั้น ทุกดวงวิญญาณก็จะได้เห็นชะตากรรมของตัวเองในโลกสุดท้ายทุกเช้าเย็นเป็นการให้ความสุขตาสบายใจแก่วิญญาณที่บงการเนื้อหนังร่างกายของตนให้ทำดี และเป็นการทรมานใจสำหรับวิญญาณที่บงการเนื้อหนังของตนให้ทำความชั่วขณะที่อยู่ในโลก โลกสุดท้าย โลกอันนิรันดร

การเดินทางของวิญญาณในทัศนะอิสลาม

เมื่อถึงวันอวสานของโลก ทุกสรรพสิ่งและทุกชีวิตบนโลกจะถูกทำลาย หลังจากนั้น ทุกชีวิตที่รออยู่ในโลกสุสานก็ถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อรอรับการพิพากษาต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า คัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่าใครก็ตามที่ทำความดีแม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นความดีของตนและใครที่ทำความชั่วไว้แม้แต่เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นความชั่วของตน ในวันแห่งการพิพากษาของพระเจ้านั้น ชีวิตแต่ละชีวิตจะไม่มีทนายมาแก้ต่างให้เหมือนกับในโลกนี้ อวัยวะของมนุษย์และแม้แต่แผ่นดินจะเป็นพยานยืนยันการกระทำของมนุษย์เอง

เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน แถบบาร์โค้ดบนหีบห่อสามารถบันทึกรายละเอียดของสินค้าภายในได้ฉันใด เซลล์ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่ว่าจะเป็นหู ตา ลิ้น จมูกและผิวหนังที่ส่งผ่านความรู้สึกที่มันสัมผัสไปยังหน่วยความจำในสมองก็สามารถบันทึกรายละเอียดการกระทำของมนุษย์ได้ฉันนั้น

ดังนั้น มนุษย์จะได้เห็นบันทึกการกระทำของตนขณะที่อยู่ในโลกเหมือนกับที่เขาได้เห็นภาพกิจกรรมของเขาที่ถูกบันทึกไว้ด้วยกล้องวีดีโออย่างชัดเจนจนเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ สุดท้าย ชะตากรรมของเขาจะเป็นอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม หลังจากนั้น ชีวิตของเขาก็จะเป็นชีวิตนิรันดร และการเดินทางของวิญญาณก็จะมาถึงที่สิ้นสุดในภพนี้

ที่มา: oknation.nationtv.tv

อัพเดทล่าสุด