ไม่มีดินแดนในโลกที่ไม่มีอิสลาม


12,447 ผู้ชม


ไม่มีดินแดนในโลกที่ไม่มีอิสลาม

ไม่มีดินแดนในโลกที่ไม่มีอิสลาม

ถ้าหากว่าเราต้องการรวบรวมสถิติที่ครอบคลุมถึงดินแดนทั้งหมดที่อิสลามเข้าสู่ดินแดนนั้นด้วยการเชิญชวนเรียกร้องโดยสันติและถ้อยคำที่งดงามพร้อมด้วยวิทยปัญญาตลอดจนข้อตักเตือนที่ดีงามแล้วละก็หนังสือเล่มนี้คงมิอาจจะบรรจุถึงรายละเอียดได้ทั้งหมด

ทั้งนี้เป็นเพราะว่า อิสลามคือศาสนาที่โบยบิน-อย่างที่กล่าวมา-โดยเคลื่อนย้ายจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งจากสถานที่หนึ่งสู่อีกสถานที่หนึ่งตามสายลมที่พัดพาไป พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบันดาลให้อิสลามมีความพิเศษในการโน้มน้าวและดึงดูดจิตใจของผู้คนไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่มีหัวใจบริสุทธิ์มีความนึกคิดที่สมบูรณ์ได้ทำความรู้จักต่ออิสลามแล้ว หัวใจของผู้นั้นก็ย่อมเปิดรับและเข้าสู่อิสลามหากพระองค์ทรงประสงค์

นอกจากนี้พระผู้เป็นเจ้ายังได้ทรงบันดาลให้ศาสนาอันบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นประหนึ่งดังความเร้นลับที่คล้ายคลึงกับโอสถสำหรับหัวใจ ไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่มีความเศร้าทุกข์ระทมอันหนักอึ้งเขาก็จะพบในอิสลามนั้นมีโอสถเยียวยาความทุกข์ระทมนั้น และนี่ก็คือสิ่งที่เราสามารถจะพบเห็นได้ในโลกปัจจุบัน ในสังคมต่าง ๆ ที่ความเจริญทางสังคมเมืองกำลังถาโถมและเหนื่อยล้าด้วยความคิดในเชิงวัตถุนิยม ในประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมันและสหรัฐอเมริกามีผู้คนหลายพันคนได้เข้ารับอิสลามเพื่อนำเอาชีวิตของพวกเขาหลีกหนีจากความวุ่นวาย ความสับสนและการสูญเสียความสงบของจิตใจในชีวิตประจำวัน

นักบูรพาคดีชาวอังกฤษที่ชื่อ เดวิด โคเวน ซึ่งเป็นอาจารย์ระดับสูงที่ทำการสอนอยู่ในวิทยาลัยเพื่อการวิจัยอิสลามแห่งกรุงลอนดอน ได้เล่าถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของตนโดยกล่าวว่าโลกนี้ได้สร้างความคับอกความใจแก่เขาหลายต่อหลายครั้งอย่างไร จนมิอาจจะหาความสงบสุขทางจิตใจได้เลย จวบจนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดหัวใจของเขาให้เข้ารับอิสลาม ซึ่งตัวเขาเองก็รู้จักอิสลามเป็นอย่างดีในการศึกษาวิจัยและการใช้ชีวิตคลุกคลีกับชาวมุสลิมมาก่อน

เขาพบว่าในอิสลามมีความสงบสุขทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ และเขาเองก็ทราบดีว่าการเข้ารับอิสลามเขาจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการได้รับตำแหน่งอธิการบดีของวิทยาลัย เขาจึงไม่หวังในหน้าที่การงานและพอเพียงกับตำแหน่งอาจารย์ที่เขาเป็นอยู่ และเขาก็ได้พบว่าในอิสลามมีฐานะอันสูงส่งยิ่งนักที่จิตใจของมนุษย์ใฝ่ฝันจะไปถึง

นักบูรพาคดีอาร์บิรีย์ ซึ่งแปลอัลกุรอานเป็นภาษาอังกฤษก็ได้เล่าถึงเรื่องราวในทำนองเดียวกันนี้ นั่นคือเขาเกิดความหวั่นเกรงที่จะบังอาจเรียกหนังสือแปลของตนเองว่าเป็นการตัฟซีร (อรรถกถา) ทั้งนี้เพราะเขาเกิดความรับรู้ในจิตใจของตนว่า ถ้อยคำของอัลกุรอานมิอาจจะทำการถ่ายทอดไปสู่มนุษย์ได้นอกเสียจากด้วยถ้อยคำซึ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่ท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)

ส่วนการอรรถกถาหรือตัฟซีรถ้อยคำของพระเจ้านั้นย่อมสามารถกระทำได้ เพราะการอรรถกถาอาจจะใช้ภาษาอาหรับหรือภาษาอื่นก็ได้แต่การแปลโดยตรงจากอัลกุรอานไปเป็นภาษาอื่นมันเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง เราจึงกล่าวได้ว่า ในทุกวันนี้อิสลามก็คือที่พักพิงอันปลอดภัยของผู้คนเป็นจำนวนมากที่เกิดความคับอกคับใจและไม่ยินดีกับสภาพอันฟอนเฟะของสังคมที่เน้นวัตถุนิยม การแก่งแย่งที่รุนแรงในการกอบโกยความผาสุกในโลกนี้ ผู้คนได้หันสู่อิสลามและพบว่าในอิสลามมีโอสถอันวิเศษที่รักษาเยียวยาความป่วยไข้ทางจิตใจ

ผู้เขียนเคยสอบถามพูดคุยกับผู้ศรัทธาชาวเยอรมันบางคนในมัสยิดแห่งหนึ่งในกรุงเบอร์ลินว่า : ศาสนาเดิมของคุณไม่สามารถสร้างความสงบสุขทางจิตใจได้เลยกระนั้นหรือ เพราะเท่าที่ทราบนั้นก็เป็นศาสนาแห่งฟากฟ้าที่เคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน เขาตอบว่า : ใช่ ก่อนที่ผมจะเข้ารับอิสลาม ผมเคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่ผมห่างไกลจากพระองค์ ผมไม่สามารถติดต่อถึงพระองค์ได้นอกจากผ่านบาทหลวง แต่มาบัดนี้ผมอยู่กับพระองค์ไม่ว่าผมจะอยู่ ณ ที่ใด และพระองค์ก็ทรงอยู่กับผมไม่ว่าผมจะอยู่ ณ ที่ใด ผมขอลุแก่โทษและสรรเสริญพระองค์ วิงวอนต่อพระองค์ถึงความเศร้าใจและความเจ็บปวดที่ผมมีและผมก็รับรู้ได้ว่า พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับผม จิตใจของผมจึงเกิดความสงบและร่มเย็น และพบกับความสบายใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้เขียนจึงกล่าวกับชาวมุสลิมเยอรมันผู้นั้นว่า คุณไม่ทราบดอกหรือว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสถึงสิ่งนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า “และเมื่อบ่าวของข้าได้วิงวอนขอต่อข้า ข้านี้อยู่ใกล้ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของบ่าวเมื่อเขาขอต่อข้า ดังนั้นพวกเขาทั้งหลายจงตอบรับต่อข้าเถิดและจงมีศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาได้รับการชี้นำทาง” (อัลบะกอเราะห์ 186) ชาวเยอรมันจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่เบิกบานว่า : ผมไม่เคยได้ยินโองการนี้เลยแต่ผมก็รับรู้ถึงมันได้เป็นอย่างดี ผมเคยรู้สึกเสมอว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดและพระองค์จะทรงตอบรับเสมอเมื่อผมได้วิงวอนขอต่อพระองค์”

อาจจะมีผู้อคติบางคนโต้แย้งในกรณีที่ว่า อิสลามไม่เคยแพร่หลายออกไปด้วยการใช้กำลัง และไม่ยอมรับต่อกรณีที่ว่า การพิชิตทั้งหลายที่เกิดขึ้นไม่ได้มีจุดประสงค์ในการทำให้ผู้คนเข้ารับอิสลามในสภาพที่หวาดกลัวแต่มีจุดมุ่งหมายในการทำลายอุปสรรคขวางกั้นในการเข้ารับอิสลามของผู้คนโดยดุษฎี เพราะถ้อยคำแห่งอิสลามนั้นเมื่อมันได้บรรลสู่จิตใจที่บริสุทธิ์นั้นจะนำพาไปยังการเปลี่ยนแปลงสู่การศรัทธาเสมอ และเราก็ไม่ต้องการโต้เถียงกับผู้ดื้อดึงที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผลเหล่านี้ เพราะพวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่จมปลักอยู่ในการโต้เถียง และการกล่าวให้ร้ายไม่ว่าเราจะนำหลักฐานที่ชัดเจนเพียงไรมาอธิบายพวกเขาก็ย่อมไม่ศรัทธาหรือยอมรับอยู่ดี

แต่ทว่าเราจะไม่ปล่อยให้ผู้ชอบโต้เถียงเหล่านี้จมปลักอยู่กับความเท็จของพวกเขาแต่จะต้องดำเนินการเรียกร้องพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีงามและหลักฐานที่ชัดแจ้งอย่างต่อเนื่องอันเป็นการปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านศาสนทูต (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในการเรียกร้องเหล่าผู้ปฏิเสธอย่างไม่ลดละและไม่เบื่อหน่ายควบคู่ไปกับความพยายามอย่างยิ่งยวดในการทำให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องบรรลุสู่จิตใจของผู้คน โดยมุ่งหวังว่านั้นจะเป็นการปลดปล่อยให้จิตใจเหล่านั้นหลุดพ้นจากอคติหรือความไม่เข้าใจ และยึดมั่นในคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งทรงทำให้ความจริงกระจ่างและทำให้ความเท็จมลายสูญดังที่พระองค์ทรงดำรัส

“แต่ว่าเราได้โยนความจริงให้อยู่เหนือความเท็จแล้วความจริงก็จะผลักไสความเท็จนั้น แล้วมันก็จะมลายสิ้นไป และความหายนะจะประสบแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวเสกสรรปั้นแต่งต่ออัลลอฮฺ” 
(อัล-อัมบิยาอฺ 18)

จึงถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการที่เราจะต้องนำเอาหลักฐานต่าง ๆ ที่ไม่อาจโต้แย้งได้มาแสดงแก่พวกชอบโต้เถียงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของประชาชาติต่าง ๆ ทั้งหมดที่ได้เข้ารับอิสลามด้วยการใช้วิทยปัญญา ข้ออนุสติเตือนใจที่งดงามซึ่งโน้มน้าวการศรัทธาสู่อิสลามเพียงประการเดียว โดยไม่มีการบังคับหรือมีการใช้กำลังทหารม้าใด ๆ เข้ารุกรานดินแดนของพวกเขา หากเป็นการเรียกร้องเชิญชวนด้วยสัจธรรมที่บรรลุถึงพวกเขาและปลดพันธนาการทั้งหลายสู่การยอมรับอิสลาม

เป็นที่ทราบกันดีว่า ดินแดนแห่งชมพูทวีปและดินแดนไกลโพ้นทางทิศตะวันตกของแผ่นดินจีนนั้นคือสองดินแดนที่กองทัพแห่งอิสลามได้รุกประชิดไปถึง ส่วนดินแดนที่เลยไปทางทิศตะวันออกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการพิชิตของอิสลามเพียงประการเดียว (มิใช่ด้วยกำลังทหาร) กรณีนี้ย่อมไม่มีข้อโต้เถียงใด และเมื่อปรากฏว่า อิสลามเพียงประการเดียวคือสิ่งที่พิชิตหัวใจของผู้คนและชนชาติทั้งหลายในดินแดนที่กระแสการพิชิตของอิสลามครอบคลุมไปถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินแดนที่เราจะกล่าวถึงนั้นก็คือการพิชิตของอิสลามเพียงประการเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งนี้เราจะติดตามถึงการแพร่หลายของอิสลามในดินแดนที่ถัดมาจากชมพูทวีปและตะวันตกของจีนในทางทิศตะวันออกและจะดำเนินไปตามเส้นทางที่อิสลามผู้พิชิตได้ไปถึง เมื่อเสร็จสิ้นจากการท่องดินแดนเหล่านั้นแล้วเราก็จะย้อนกลับสู่ดินแดนทางตะวันตก โดยจะศึกษาถึงการพิชิตของอิสลามเพียงลำพังโดยไม่มีกำลังทหารใด ๆ ในดินแดนที่ตั้งอยู่ทางเส้นเขตร้อนใต้ของแอฟริกานับแต่ทางใต้ของทะเลทรายซะฮาร่าหลังจากนั้นเราก็ศึกษาถึงดินแดนอื่น ๆ ที่อิสลามได้ไปถึงในส่วนต่าง ๆ ของโลกใบนี้และพระองค์อัลลอฮฺทรงเป็นผู้ถูกขอความอนุเคราะห์ในทุกสิ่งที่ดีงาม


บทความเขียนโดย: อาจารย์ อาลี เสือสมิง

อัพเดทล่าสุด