ฉันชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ฉันกำลังจะแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง ฉันควรบอกความจริงให้นางทราบหรือเก็บเป็นความลับต่อไป ฉันควรทำอย่างไร ?...
ฉันชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ฉันกำลังจะแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง ฉันควรบอกความจริงให้นางทราบหรือเก็บเป็นความลับต่อไป ฉันควรทำอย่างไร ?
Homosexuality (การรักร่วมเพศ) เป็นอาการป่วยที่รุนแรง และเป็นบททดสอบที่หนักหนา ยิ่งไปกว่านั้นหากมีพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรมมาเกี่ยวข้องมันก็จะยิ่งเลวร้ายยิ่งชึ้นไป เพราะความผิดบาปความน่ารังเกียจของพฤติกรรมที่ผิดแผกเหล่านี้มีผลเสียตามมาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ดังนั้นท่านจะต้องให้ความสำคัญในการรับมือกับความหลงผิดป้องกันตัวท่านเองจากความชั่วที่มีผลเสียหายร้ายแรงมากกว่าการมาคิดที่จะปกปิด หรือเปิดเผยเรื่องนี้กับคู่หมั้นของท่าน
ท่านจะต้องตระหนักว่าบททดสอบนี้มีสาเหตุ และมันอาจมาจากสิ่งที่ได้กระทำไป สำหรับผู้ที่ต้องการจะปกป้องตัวเองจากสถานการณ์เหล่านี้ จะต้องเสาะหาสาเหตุเหล่านี้ และออกห่างจากมัน แล้วจงทำตามสิ่งที่เราแนะนำ หรือไม่ก็ยอมจำนนอยู่กับข้ออ้างของเขาต่อไปหากไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า สาเหตุดังกล่าวอาจมาจากการกระทำของเขาดังนี้:
1. อีหม่านอ่อน ความห่างไกลจากความรักอัลลอฮฺ และไม่เกรงกลัวในการลงโทษของพระองค์
2. การจ้องมองชายหนุ่มที่ไร้เครา สุขสมกับความงาม และรูปร่างของพวกเขา
นี่คือก้าวแรกของบาปของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคดังกล่าวนี้ อัลลอฮฺได้สั่งใช้ให้ลดสายตาลงต่ำ เลี่ยงการมองสิ่งฮะรอม และท่านนบี (ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้สั่งใช้ไว้เช่นนี้ เมื่อเขาเลิกปฏิบัติตาม และทำสิ่งต้องห้าม อิบลีส (ชัยฏอน) ก็สามารถยิงลูกดอกอาบยาพิษไปยังจิตใจของเขาจนทำลายเขาในที่สุด
อิบนฺ อัลกอยยิม (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) กล่าวว่า: การจ้องมองคือ จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหลายที่ประสบกับผู้ชาย เพราะการมองก่อให้เกิดความคิด ความคิดก่อให้เกิดการจินตนาการ การจินตนาการก่อให้เกิดอารมณ์ อารมณ์ก่อให้เกิดความต้องการ ซึ่งมันจะมีความหนักหนามากขึ้น และกลายเป็นสิ่งที่ต้องตอบสนอง และการงานนั้นจะถูกปฏิบัติโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากมีบางสิ่งมาหักห้าม ดังนั้นจึงมีการกล่าวว่า ความอดทนในการลดสายตาลงต่ำนั้นง่ายดายกว่าความอดทนในการแบกรับความเจ็บปวดที่ตามมาเสียอีก
จบการอ้างจาก อัลญะวาบ อัลกาฟี (หน้า 106)
บรรดาอุละมาอฺ ได้เห็นพ้องต้องกันว่า ห้ามจ้องมองชายหนุ่มที่ไร้เครา และบางคนกล่าวว่ามันฮะรอมยิ่งกว่าการจ้องมองผู้หญิงเสียอีก
อิหม่ามอันนะวะวียฺ (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) กล่าวว่า: เช่นเดียวกัน อุละมาอฺได้ห้ามผู้ชายในการมองใบหน้าชายหนุ่มที่ไร้เครา หากเขาหล่อเหลา ไม่ว่าจะมีอารมณ์หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะปลอดจากฟิตนะฮฺ หรือมีการเกรงว่าจะเกิดฟิตนะฮฺก็ตาม นี่คือทัศนะที่ถูกต้องและให้น้ำหนักโดยอุละมาอฺ สิ่งนี้ได้ถูกกล่าวไว้โดยอัชชะฟีอียฺ และผู้รู้ที่ถูกรับรองในมัซฮับของท่าน (เราะฮิมะฮุมุลลอฮฺ) หลักฐานในประเด็นนี้คือ การที่ผู้ชายไร้เคราบางครั้งก็ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิง เขาอาจเกิดอารมณ์เฉกเช่นเดียวกับที่เกิดกับผู้หญิง รูปร่างหน้าตาของเขาอาจจะงดงามดังเช่นผู้หญิง และบางคนในหมู่พวกเขาอาจงามยิ่งกว่าผู้หญิง ซึ่งข้อห้ามที่มีต่อคนกลุ่มนี้นั้นอาจมากกว่าเสียอีก เนื่องจากในกรณีของพวกเขาอาจมีความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นซึ่งไม่พบเจอในกรณีของผู้หญิง
จบการอ้างจาก ชัรฮฺมุสลิม (4/31)
ชัยคุลอิสลาม อิบนฺตัยมียยะฮฺ (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) กล่าวว่า:
การจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ไร้เคราด้วยกับอารมณ์ความใคร่ ไม่ต่างอะไรกับการจ้องมองใบหน้าของสตรีที่อาจจะเป็นมะฮฺรอม หรือไม่ใช่มะฮฺรอมด้วยกับอารมณ์ความใคร่ โดยไม่ว่าจะมีอารมณ์ในแง่การร่วมเพศ หรืออารมณ์มีความสุขจากการจ้องมอง หากเขาจ้องมองไปยังแม่ พี่น้องสาว หรือลูกสาวด้วยกับความสุขซึ่งเป็นความสุขเฉกเช่นที่เกิดจากการจ้องมองสตรีที่ไม่ใช่มะฮฺรอม ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าฮะรอม เช่นเดียวกันกับการจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ไร้เครา ตามมติเอกฉันท์ของบรรดาอุละมาอฺ
จบการอ้างจาก มัจมูอฺ อัลฟะตาวา (15/413) และ (21/245)
และท่าน (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) ได้กล่าวไว้อีกเช่นกันว่า:
ผู้ที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มไร้เครา หรือเยาวชนโดยไม่ละสายตา หรือกระทำเป็นประจำแล้วอ้างว่า “ก็ฉันไม่ได้มองด้วยกับอารมณ์ตัณหานี่” นั่นคือการโกหก เพราะ เขาไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องไปจ้องมอง ดังนั้นการมองของเขาก็เป็นเหตุมาจากการเสพสุขที่ก่อตัวในหัวใจของเขา สำหรับการมองโดยไม่ตั้งใจนั้นไม่ถูกเอาโทษ หากเขาละสายตาออกไป
จากมัจมูอฺ อัลฟะตาวา (15/419) และ (21/251)
การจ้องมองที่คนผิดปกติเหล่านี้กระทำ หมายรวมไปถึงการดูรูปเยาวชน ชายหนุ่มไร้เคราผ่านทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และเว็บไซต์ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้เขาทำสิ่งที่ผิดหลักการศาสนาตามมา
3. มีความบกพร่องในเรื่องอิบาดะฮฺที่วาญิบ และนะวาฟิล
หากผู้ที่กำลังประสบปัญหาละหมาดตรงเวลาครบถ้วนสมบูรณ์ตามเงื่อนไข และส่วนที่เป็นข้อบังคับในการละหมาดจะเป็นสิ่งที่ช่วยยับยั้งเขาจากการตกหลุมพรางความชั่วร้าย และสิ่งที่ผิดหลักการ อัลลอฮฺได้กล่าวว่า (ความหมายบางส่วน):
“แท้จริง อัศเศาะลาฮฺ (การละหมาด) นั้นจะยับยั้ง อัลฟะฮฺชาอฺ (บาปใหญ่ในทุกรูปแบบ การผิดประเวณี) และอัลมุนกัร (การปฏิเสธศรัทธา การตั้งภาคี และความชั่วเลวทรามทุกรูปแบบ)” (อัลอังกะบูต 29:45)
ดังนั้นมันจะเป็นเช่นไรหากเขาละหมาดซุนนะฮฺ และนะวาฟิชอยู่เสมอ?
4. การละทิ้งกุรอาน และไม่อ่านหนังสือชีวประวัติของบุรุษ และบรรดาอิมามที่ดีงาม
คัมภีร์ของอัลลอฮฺมีทั้งทางนำ แสงสว่าง และการรักษา เป็นการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับมุสลิมจากการตกสู่บาป และเป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ได้อยู่ในสภาวะของการทำบาป
หากเขาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับบรรดาอิหม่าม หรือชีวประวัติของอุละมาอฺ เขาจะสามารถนำเอามาเป็นตัวอย่าง รู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องราวของพวกเขาจนสามารถยกระดับตนเองเหนือสิ่งที่ผิดหลักการ และความชั่วร้ายต่าง ๆ
5. บกพร่องในการแสวงหาความรู้
ความรู้คือแสงสว่าง มันทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าสิ่งใดฮะลาล เราก็จะได้กระทำมัน สิ่งใดฮะรอม เราก็จะได้หลีกเลี่ยงมัน การแสวงหาความรู้ทำให้เรารู้จักผู้อภิบาล ผู้ทรงสูงส่ง รู้จักพระนาม คุณลักษณะ และการงานของพระองค์ ซึ่งความรู้สึกอายต่อผู้อภิบาล และมลาอิกะฮฺทั้งหลายจะก่อตัวขึ้นในจิตใจของเขา ทำให้เขาไม่ต้องการทำสิ่งที่ชั่วร้าย หรือสิ่งที่ผิดหลักการศาสนา การแสวงหาความรู้จะทำให้เขารู้ถึงสถานะของผู้กระทำบาป รวมถึงการลงโทษของพระองค์ที่เตรียมไว้สำหรับพวกเขา
6. การมีเวลาว่างในชีวิตของผู้ที่ประสบปัญหานี้
หากเขาสาละวนอยู่กับการอิบาดะฮฺ เล่นกีฬา การกระทำที่อนุญาต และการแสวงหาความรู้ พวกเขาจะไม่มีเวลาสำหรับการคิดถึงสิ่งที่ฮะรอม อย่าว่าแต่การกระทำมันเลย
7. การคบค้ากับคนชั่ว
ท่านนบี (ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้เปรียบเปรยเพื่อนที่ชั่วดั่งผู้ที่เป็นช่างตีเหล็ก เขาสามารถทำให้เสื้อผ้าของสหายไหม้ หรือทำให้เสื้อผ้าของสหายมีกลิ่นเหม็นที่มาจากเขา
8. การไม่แต่งงาน
อัลลอฮฺได้สร้างอารมณ์โดยธรรมชาติให้กับผู้ชาย และได้ให้ทางออกเอาไว้ในตัวผู้หญิง หนทางที่อนุญาตให้กระทำก็คือการแต่งงาน ผู้ที่ฝืนธรรมชาติ (ฟิตเราะฮฺ) และเบี่ยงเบนอารมณ์ไปยังชายอื่นเช่นเขา สภาพของเขานั้นต่ำยิ่งกว่าสัตว์ ซึ่งสัตว์อัลลอฮฺได้สร้างต่อหน้าเรา เราเคยเห็นสัตว์ตัวผู้ตัวไหนที่ติดใจตัวผู้ตัวอื่นหรือจ้องมองกันด้วยกับความใคร่หรือไม่? จงพิจารณาสิ่งนี้แล้วเทียบกับผู้ที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มไร้เคราเพศเดียวกันด้วยกับอารมณ์ และผู้ที่ทำสิ่งที่ผิดหลักการศาสนากับพวกเขา สิ่งนั้นยิ่งทำให้เขายิ่งออกห่างจากการแต่งงานกับสตรี!
ดูเพิ่มเติม คำถามหมายเลข 20068 ในประเด็นการออกห่าง และรักษาโรคนี้
อิบนฺ อัลกอยยิม (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) กล่าวอธิบายถึงการรักษาความรัก และการหลงใหลที่ฮะรอม หนทางการรักษาโรคอันหนักหนานี้ คือ การเข้าใจว่าสิ่งที่เขาประสบจากโรคนี้นั้นมันสวนทางกับอัตเตาฮีด ซึ่งเป็นผลมาจากความโง่เขลา และการปล่อยปะละเลยต่อหัวใจของเขาจากอัลลอฮฺ เขาจะต้องตระหนักถึงความเป็นเอกะของผู้อภิบาลของเขา (อัตเตาฮีด) กฎเกณฑ์ และอายะฮฺของพระองค์จะต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด จากนั้นเขาก็จงประกอบอิบาดะฮฺทั้งภายในมและภายนอก ซึ่งจะช่วยหันเหจิตใจของเขาจากการหมกหมุ่นในเรื่องเหล่านี้ผินหน้าไปสู่พระองค์อย่างจริงจัง และอ้อนวอนต่อัลลอฮฺให้ขจัดสิ่งนี้ออกไปจากตัวเขา เขาจะต้องตั้งมั่นจิตใจของเขา ณ ที่อัลลอฮฺ ไม่มีการรักษาใดที่ดีกว่าความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ นี่คือการรักษาที่อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ เมื่อพระองค์กล่าวว่า (ความหมายบางส่วน) “เช่นนั้นแหละเพื่อเราจะให้ความชั่ว และการลามกห่างไกลจากเขา แท้จริงเขาคือคนหนึ่งในปวงบ่าวของเราที่บริสุทธิ์” (ยูซุฟ 12:24)
อัลลอฮฺได้บอกเราว่าพระองค์ได้หันเหความชั่วร้ายจากการหลงใหล และสิ่งที่ผิดหลักการศาสนาออกไปเนื่องจากความบริสุทธิ์ใจของเขา เพราะหัวใจของเขานั้นบริสุทธิ์ และการกระทำทั้งหลายมีความบริสุทธิ์ในหนทางของอัลลอฮฺเท่านั้น จนความรักใคร่ในเรือนร่างไม่สามารถทำอะไรจิตใจเขาได้ ซึ่งมันจะสามารถครอบครองได้แค่หัวใจที่ว่างเปล่าเท่านั้น ดังที่กลอนได้กล่าวไว้ว่า:
ความรักที่มีต่อนางมายังใจฉันก่อนที่ฉันจะรู้สึกความรักเสียอีก
และมันพบว่าหัวใจของฉันนั้นว่างเปล่า ดังนั้นมันจึงครอบครองใจฉันเอาไว้
จบการอ้าง จาก อัลญะวาบ อัลกาฟียฺ (หน้า 150,151)
- ประเด็นที่สอง
ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดคือ การคิดว่าไม่มีหนทางรักษาโรคนี้ หรืออาการรักร่วมเพศไม่มีทางกลับมาเป็นปกติได้ หากมันเป็นเช่นนั้น อัลลอฮฺจะไม่บอกหมู่ชนลูฏให้เตาบะฮฺตัว และท่านนบีลูฏ (อะลัยฮิสลาม) ของอัลลอฮฺ คงจะไม่เรียกร้องพวกเขาให้เลิกพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนอันนี้ อัลลอฮฺคือ ผู้ทรงสร้างมนุษย์ และพระองค์รู้ว่าสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลง หรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นอย่าได้ให้ราคากับการกล่าวอ้างที่ขัดแย้งกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวไว้
กี่มากน้อยแล้วที่ผู้รักร่วมเพศได้ผินหน้ากลับสู่ผู้อภิบาล และทำการเตาบะฮฺ แล้วการเตาบะฮฺของเขาถูกตอบรับ และได้เปลี่ยนแปลงหนทางของเขา สุดท้ายอารมณ์ที่ต้องห้ามได้สูญหายไป ลูฏ (อะลัยฮิสลาม) ได้เรียกร้องให้หมู่ชนของเขาแต่งงาน เพราะมันเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผล ซึ่งผู้ที่ประสบกับสิ่งนี้สามารถปลดปล่อยอารมณ์ของเขาได้ในหนทางที่อนุญาต
- ประเด็นที่สาม
จากข้างต้นเป็นที่ชัดเจนว่า สิ่งที่บรรดาผู้รักร่วมเพศประสบอยู่คือ การหลงใหลในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มไร้เครา หรือพฤติกรรมที่ผิดหลักการ คือผลของการกระทำทั้งหลายของเขาเอง (เขาก็จะต้องถูกตำหนิในเรื่องนี้) เขาจะต้องเลิก และทำตัวให้ออกห่างสิ่งเหล่านี้ หากเราลองคิดว่า หากเขารู้สึกดึงดูดกับผู้ชาย เขาก็จะต้องพยายาม และหลีกเลี่ยงเหตุต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้เขาตกไปสู่สิ่งฮะรอม เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่มีความดึงดูดกับผู้หญิง เขาก็จะต้องลดสายตาลงต่ำ และไม่อยู่ร่วมกับเพศหญิงตามลำพัง ตลอดจนหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่นำไปสู่ฟิตนะฮฺ (อารมณ์ใฝ่ต่ำ)
- ประเด็นที่สี่
สำหรับคำถามที่ว่า “เราควรทำอย่างไร?” เราได้อธิบายสิ่งที่พึงกระทำไปแล้ว ท่านจะต้องเกรงกลัวอัลลอฮฺ ให้เกียรติพระองค์อย่างมาก จนไม่ต้องการให้พระองค์เห็นท่านในสภาพที่เลวร้าย ซึ่งพระองค์ไม่ชอบ ตลอดจนการที่พระองค์ได้เตรียมการลงโทษอันเจ็บปวดกับมนุษย์
แต่เรารู้สึกตะลึงกับคำถามที่ท่านถามว่า “มันเป็นความผิดของเราด้วยหรือที่เราเป็นแบบนี้?” “ฮิกมะฮฺของการสร้างเรามาแบบนี้คืออะไร?”
ใช่ โอ้บ่าวของอัลลอฮฺ ความผิด และสิ่งที่ตามมา การรักษา และการลงโทษ ทั้งหมดจะมีผลต่อผู้ที่กระทำบาป เขาสมควรได้รับมันเพราะความชั่วที่เขาได้กระทำ และสิ่งที่มือทั้งสองของเขาได้รับมา
อัลลอฮฺกล่าวว่า (ความหมายบางส่วน):
“และในหมู่มนุษย์บางคนมีผู้โต้เถียงในเรื่องของอัลลอฮ์ โดยปราศจากความรู้ และโดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้อง และปราศจากคัมภีร์ที่มีหลักฐานชัดแจ้ง”
”เขาจะเอี้ยวตัวของเขาไปอย่างหยิ่งยะโสเพื่อให้ผู้คนหลงจากทางอัลลอฮฺ สำหรับเขาจะได้รับความอัปยศในโลกนี้ และเราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟลุกไหม้ในวันกิยามะฮฺ”
“นั่นเพราะว่า มือทั้งสองของเจ้าได้ก่อกรรมทำไว้ และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงอธรรมต่อปวงบ่าว”
(อัลฮัจญฺ 22:8-10)
อัลลอฮฺได้กล่าวไว้เช่นกันว่า: “ส่วนบรรดาผู้โต้แย้งเกี่ยวกับอัลลอฮฺ (ศาสนาของพระองค์ อัลอิสลามการนับถือพระเจ้าองค์เดียวที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกส่งลงมา) หลังจากได้เป็นที่ยอมรับแล้ว (จากผู้คน) การโต้แย้งของพวกเขาปราศจากเหตุผลในทัศนะของพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะได้รับความกริ้วโกรธ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างสาหัส”
(อัชชูรอ 42:16)
ชัยคฺอัซซะอฺดียฺ (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า: ตรงนี้อัลลอฮฺได้บอกกับเราว่า “ผู้โต้แย้งเกี่ยวกับอัลลอฮฺ” โดยกับหลักฐานเท็จ และข้อโต้แย้งที่ตรงกันข้าม และตบตา “หลังจากได้เป็นที่ยอมรับแล้ว (จากผู้คน)” คือหลังจากที่ผู้คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้มีเหตุมีผลได้ตอบรับอัลลอฮฺ เพราะสัญญาณที่เด็ดขาด และหลักฐานอันชัดแจ้งที่พระองค์ได้ทำให้กระจ่างแก่พวกเขา ดังนั้นผู้คนเหล่านี้ผู้ซึ่งได้โต้แย้งสัจธรรมหลังจากถูกทำให้กระจ่างแก่พวกเขาแล้ว “การโต้แย้งของพวกเขาปราศจากเหตุผล” คือถูกเป็นเท็จ และถูกปฏิเสธ “ในทัศนะของพระเจ้าของพวกเขา” เพราะมันคือการปฏิเสธสัจธรรม และทุกสิ่งที่ตรงข้ามกับสัจธรรมคือความเท็จ
“และพวกเขาจะได้รับความกริ้วโกรธ” เพราะการฝ่าฝืนของพวกเขา และการหันหลังให้หลักฐานของอัลลอฮฺ และการปฏิเสธมัน “และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างสาหัส” ซึ่งก็คือผลจากความโกรธกริ้วของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา นี่คือการลงโทษสำหรับทุกคนที่โต้แย้งสัจธรรมด้วยกับความเท็จ จบการอ้าง
อัลลอฮฺได้กล่าวถึงศัตรูของพระองค์ที่สร้างความเท็จว่า:
“และเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ (การงานชั่วทั้งหลาย เดินรอบกะอฺบะฮฺในสภาพเปลือยกาย การผิดประเวณีทุกรูปแบบ) พวกเขาก็กล่าวว่า พวกเราได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยกระทำมา และอัลลอฮฺก็ทรงใช้พวกเราให้กระทำมันด้วย จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอก พวกท่านจะกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้กระนั้นหรือ?”
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม และพวกเจ้าจงผินให้ตรงซึ่งใบหน้าของพวกเจ้า (ไม่สักการะผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ หันหน้าไปทางกิบละฮฺ คือ กะอฺบะฮฺที่มักกะฮฺตลอดการละหมาด) ณ ทุก ๆ มัสยิด (และอย่าได้หันหน้าไปสู่สิ่งอื่นที่เป็นเท็จ และเจว็ดทั้งหลาย) และจงวิงวอนต่อพระองค์ในฐานะผู้มอบอิบาดะฮ์ทั้งหลายแด่พระองค์โดยบริสุทธิ์ใจ (โดยไม่สักการะสิ่งอื่นเคียงคู่กับพระองค์ และมีเจตนาในการทำการงานเพียงเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น) เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าแต่แรกนั้น พวกเจ้าก็จะกลับไป (ในวันกิยามะฮฺแบ่งเป็นสองกลุ่ม หนึ่งคือผู้ที่มีความจำเริญ ผู้ศรัทธา และอีกกลุ่มคือผู้ถูกสาปแช่ง ผู้ปฏิเสธศรัทธา)”
“พวกหนึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด (เพราะ) แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครอง (เอาลิยาอฺ) อื่นจากอัลลอฮ์ และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือ ผู้ที่ได้รับคำแนะนำ” (อัลอะอฺรอฟ 7:28-30)
ชัยคฺอัซซะอฺดียฺ (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า: ในที่นี้อัลลอฮฺกล่าวอธิบายถึงสภาพอันเลวร้ายของมุชริกีนที่กระทำบาปแล้วอ้างว่าอัลลอฮฺสั่งใช้พวกเขาให้กระทำสิ่งนั้น “และเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ” หมายถึงทุกสิ่งที่น่ารังเกียจ และน่าเกลียดชัง ซึ่งหมายถึงการเวียนรอบกะอฺบะฮฺในสภาพที่เปลือยกายเช่นกัน “พวกเขากล่าวว่า: พวกเราได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยกระทำมา ”พวกเขาได้พูดความจริงในเรื่องนี้ “และอัลลอฮฺก็ทรงใช้พวกเราให้กระทำมันด้วย” พวกเขาได้พูดเท็จในเรื่องนี้ ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ปฏิเสธการอ้างถึงของพวกเขาและกล่าวว่า: “แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอก” มันไม่เหมาะสมกับความสมบูรณ์แบบ และฮิกมะฮฺที่จะไปสั่งใช้ให้บ่าวกระทำสิ่งชั่วร้าย ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นมุชริกีนหรือผู้อื่นก็ตาม “และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับคำแนะนำ” และมีการกล่าวเท็จใดจะร้ายแรงยิ่งกว่านี้อีกหรือ? จบการอ้าง
สิ่งที่ท่านได้กล่าวคือ สิ่งที่ศัตรูของอัลลอฮฺ มุชรีกีน และผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าว พวกเขากระทำบาปแล้วอ้างว่ามันเป็นเพราะกอดัร (การกำหนดของอัลลอฮฺ) กล่าวว่าอัลลอฮฺสร้างพวกเขามาเช่นนั้น หรือพระองค์สั่งใช้ให้พวกเขากระทำ ความเกรียงไกรมีแด่อัลลอฮฺผู้ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง
ดังนั้นก็ปล่อยให้พวกทำซินา เป็นโจร และฆาตกรได้กล่าวว่า: ฉันผิดอะไรกัน? อัลลอฮฺสร้างฉันมาเช่นนี้ การอ้างเท็จเช่นนี้ได้ทำลายกฎของการกำหนดของอัลลอฮฺอย่างรุนแรง และได้ทำลายคำสั่งใช้ และข้อห้ามทั้งหลาย สุดท้ายทำให้พวกเขาหลงทาง พวกเขาจึงผิดประเวณีเยี่ยงลา ไม่ช้านานพวกเขาก็จะทำความชั่วกลางถนน ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงใกล้จุดวันสิ้นสุด ดังเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศกุฟฟาร หรือประเทศแห่งบาปทั้งหลาย
ท่านทราบหรือไม่ว่าท่านคือ ผู้ที่เปิดประตูนี้ให้กับตัวท่านเอง และอัลลอฮนั้นมีเหตุผลโต้แย้งที่เหนือกว่าพวกท่าน ส่วนพวกท่านเล่ามีอะไรจะโต้แย้งอัลลอฮได้ ? (จะยกเหตุผลมาอ้างว่าอัลลอฮฺคือผู้กำหนดให้เขาเป็นผู้ทำบาปไม่ได้ เพราะอัลลอฮให้เสรีภาพกับมนุษย์แล้ว - ผู้แปล)
ดังนั้นจงง่วนอยู่กับการปิดประตูสู่บาปและความหายนะเถิด ก่อนที่มันจะไม่สามารถปิดได้ แทนที่จะหมกมุ่นกับการมโนคิดเกี่ยวกับผู้ที่สร้างประตู และเหตุใดพระองคฺจึงไม่ปิดประตูนั้น เหมือนกับว่าท่านไม่รู้ความต่างระหว่างประตู และกำแพงเลยสักนิด
ถ้าท่านอยากให้มันเป็นกำแพง ไม่มีประตู ไม่มีโคมไฟ แล้ววัตถุประสงค์ของการตอบแทนการงานทั้งหลายคืออะไร? คุณค่าของคำสั่งใช้ และคำสั่งห้าม ฮะลาล และฮะรอม ผลบุญ และการลงโทษคืออะไร?
สำหรับคำแนะนำของเราคือ ให้ท่านรีบแต่งงาน เพื่อที่ท่านสามารถปลดปล่อยสเปิร์มของท่านไปสู่สิ่งที่บริสุทธิ์ และฮะลาล ป้องกันตัวท่านจากการร่วมเพศที่ฮะรอม
มีความจำเป็นที่ท่านจะต้องกลับตัวเตาบะฮฺอย่างบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ จากบาปของการรักร่วมเพศที่ท่านประสบ และพยายามทำทุกสิ่งที่เป็นการเชื่อฟัง เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ทำให้ผู้ที่เชื่อใจท่านเสียใจ หรือหักหลังคำสัญญา หรืออธรรมต่อผู้ที่ไม่ได้ทำอะไรกับท่าน จงเข้าหาอัลลอฮฺทำให้พระองค์พึงพอใจ ไม่ช้านานท่านก็จะรู้สึกว่าท่านได้เริ่มเดินตามทางนำ รู้สึกว่าท่านกำลังเดินอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง จากนั้นก็จงสร้างความเข้มแข็งสร้างแรงขับเคลื่อนความดีงาม และความบริสุทธิ์ในหัวใจผ่านการแต่งงาน ผู้ซึ่งจะทำให้ท่านอยู่ในสถานะที่ดีงาม อย่างไรก็ตามก่อนแก้ปัญหา หรือรู้สึกว่าได้กลับตัวอย่างบริสุทธิ์ใจ ท่านจะต้องไม่อธรรมผู้ใด ไม่หักหลังผู้ใดที่ได้ให้ความเชื่อมั่นกับท่าน
เราขอต่ออัลลอฮฺให้ช่วยเหลือท่าน ทำให้ใจท่านบริสุทธิ์ และให้ท่านอยู่ในความดีงาม
วัลลอฮุอะอฺลัม
ขอบคุณข้อมูล: กล่องดินสอ