ในคัมภีร์กุรอานมีเรื่องราวของชุมชนในอดีตที่เคยรุ่งเรืองและตกต่ำเป็นบทเรียนสอนมนุษย์ว่า ความเข้มแข็งมั่งคั่งมิได้หมายถึงความมั่นคงเสมอไป ...
อุบาร์ เมืองที่สูญหายที่อัลกุรอานกล่าวไว้
บทความโดย: อ.บรรจง บินกาซัน
ในคัมภีร์กุรอานมีเรื่องราวของชุมชนในอดีตที่เคยรุ่งเรืองและตกต่ำเป็นบทเรียนสอนมนุษย์ว่า ความเข้มแข็งมั่งคั่งมิได้หมายถึงความมั่นคงเสมอไป หลายชุมชนและหลายอาณาจักรที่เคยมั่งคั่งยิ่งใหญ่ในอดีตเคยถูกทำลายจนหายสาบสูญไปและบางแห่งยังมีร่องรอยเป็นหลักฐานให้เห็นอยู่แม้ในปัจจุบัน
หนึ่งในชุมชนที่เข้มแข็งมั่งคั่ง แต่ถูกทำลายจนหายสาบสูญไปนับหลายพันปี คือ ชุมชนชาวอ๊าด ที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายอาหรับ ทางตอนใต้ของประเทศโอมานในปัจจุบัน
นักประวัติศาสตร์ศาสนากล่าวว่า ชาวอ๊าดเป็นคนรุ่นหลานของโนอาห์ ชาวอ๊าดมีรูปร่างใหญ่และสร้างบ้านเมืองของตัวเองด้วยหินโดยมีเสาสูงตระหง่านเป็นที่สังเกตได้แต่ไกล ในเวลานั้น ไม่มีชนกลุ่มใดมีความสามารถเหมือนชาวอ๊าด คัมภีร์กุรอานเรียกชาวอ๊าดกลุ่มนี้ว่า อ๊าดอิร็อม ซึ่งต่อมาได้เพี้ยนเป็น เอรุมและอุบาร์ (City of the Pillars)
อุบาร์หรืออ๊าดอิร็อม เคยมั่งคั่งเข้มแข็งในอดีต มีชื่อในเรื่องการผลิตและการจัดส่งกำยาน แต่ชาวอ๊าดใช้ความเข้มแข็งของตัวเองกดขี่ข่มเหงชนชาติอื่นที่อ่อนแอกว่าและละเมิดขอบเขตทางศีลธรรมทุกอย่างเพราะถือว่าตัวเองมั่งคั่ง ชาวอ๊าดกราบไหว้บูชารูปเคารพที่พวกเขาสร้างขึ้นมาและนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงเลือกฮูดซึ่งเป็นคนดีในหมู่ชาวอ๊าดขึ้นมาเป็นนบีเพื่อตักเตือนผู้คนของเขา ฮูดเริ่มตักเตือนผู้คนก่อนเลยว่า
“พวกท่านอย่าเคารพสักการะสิ่งใดอื่นนอกจากพระเจ้าองค์เดียว เพราะฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่” (กุรอาน 46.21 )
“พวกท่านสร้างเสาสูงเพื่อโอ้อวดกระนั้นหรือและพวกท่านสร้างคฤหาสน์เหมือนกับว่าพวกท่านจะอยู่ตลอดกาลกระนั้นหรือ และเมื่อพวกท่านทำร้ายผู้ใด พวกท่านก็กระทำอย่างโหดร้ายทารุณ พวกท่านจงเกรงกลัวพระเจ้าและเชื่อฟังฉัน จงยำเกรงผู้ทรงประทานปศุสัตว์และลูกหลานมากมายแก่พวกท่านและสวนอันหลากหลายและลำธารหลายแห่ง” (กุรอาน 26:128-134)
ข้อความตอนท้ายของคัมภีร์กุรอานข้างต้นบอกให้เรารู้ว่าย้อนขึ้นไปก่อนหน้าสมัยนบีมุฮัมมัดไม่ต่ำกว่าสองพันปี คาบสมุทรอาหรับบริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้อุดมสมบูรณ์ มีฝูงปศุสัตว์เพราะมีลำธารหลายแห่งส่งน้ำหล่อเลี้ยง
แต่ด้วยความทะนงในความมั่งคั่งและความเข้มแข็งของตน ชาวอ๊าดโดยเฉพาะกลุ่มผู้นำจึงไม่เชื่อคำตักเตือนของนบีฮูด มิหนำซ้ำยังกล่าวหานบีฮูดว่าสติวิปลาสหรือไม่ก็ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง พวกเขายังท้านบีฮูดให้นำการลงโทษของพระเจ้ามาถ้าพระเจ้ามีจริง
เมื่อพระเจ้าส่งนบีที่เป็นมนุษย์ธรรมดามาตักเตือนแล้ว การปฏิเสธนบีก็เท่ากับการปฏิเสธพระเจ้า อีกทั้งยังท้าทายพระเจ้าด้วย ดังนั้น พระองค์จึงส่งเมฆดำทะมึนก้อนใหญ่เข้ามายังเมืองของชาวอ๊าด
นบีฮูดบอกชาวอ๊าดว่า ก้อนเมฆดำนี้คือสัญญาณเตือนจากพระเจ้าที่จะนำการลงโทษอันเจ็บปวดมาและเตือนให้ชาวเมืองสำนึกผิด แต่ชาวอ๊าดกลับคิดว่าเมฆดำจะนำฝนมาให้พวกเขาและไม่เชื่อฟังนบีฮูด
ดังนั้น พระเจ้าจึงสั่งนบีฮูดให้นำผู้ศรัทธาออกจากเมือง คัมภีร์กุรอานเล่าต่อไปว่าเมื่อนบีฮูดออกนอกเมืองไปแล้ว ได้มีพายุทรายพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงต่อเนื่องกันเป็นเวลาเจ็ดคืนแปดวันจนผู้คนในเมืองล้มตายเหมือนกับต้นอินทผลัมที่ล้มตายและไส้กลวง
พายุที่หอบทรายมาได้ทับถมเมืองอุบาร์หรือชุมชนอ๊าดอิร็อมตั้งแต่นั้นนับหลายพันปีก่อนหน้านบีมุฮัมมัดได้รับคัมภีร์กุรอาน นบีมุฮัมมัดเองและชาวอาหรับในสมัยของท่านหรือก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็นเมืองนี้ทั้งๆที่คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้
วัตถุประสงค์ที่พระเจ้าบอกเล่าเรื่องนี้ก็เพื่อเตือนชาวมักก๊ะฮฺที่ต่อต้านนบีมุฮัมมัดให้รู้ว่า ก่อนหน้านี้ ชุมชนที่เข้มแข็งมั่งคั่ง แต่ปฏิเสธคำตักเตือนนบีจะต้องพบจุดจบอย่างไร
คัมภีร์กุรอานเป็นวจนะของพระเจ้าและเป็นความจริงจนถึงวันสิ้นโลก ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามากเพียงใด วิทยาศาสตร์เองจะพบความจริงที่กล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอาน
ในปี ค.ศ.1992 ดาวเทียมดวงหนึ่งได้ส่งภาพถ่ายทางอากาศพื้นที่บริเวณตอนใต้ของเมืองโอมานบนคาบสมุทรอาหรับและได้พบร่องรอยซากเมืองที่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าเป็นเมืองโบราณที่หายสาบสูญไปเมื่อ
ประมาณสามพันปีก่อนคริสตกาล นักโบราณคดีเชื่อว่าเมืองนี้ คือ เมืองอุบารฺ ซึ่งเป็นเมืองของชนชาติอ๊าดในอดีตที่ถูกทำลายจนหายสาบสูญไป