ท่านศาสดาของเราไม่ได้เป็นบุคคลแรกในบรรดาศาสดาของอัลลอฮฺที่ทำนายการปรากฏของดัจญาล ศาสดาทุกคนนับตั้งแต่นบีอาดัม ได้เตือนประชาชาติของท่านถึงการมาของดัจญาลในวันข้างหน้า....
ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ คือใคร?
โดย อะลี อักบัรฺ มุฮัมมัด อะมีน แปล เรียบเรียง
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ พูดถึง ยะอฺยูจญ์-มะอฺยูจญ์(ก๊อก และ มาก๊อก)ว่าเป็นอัล-มะซีหฺ อัล-ดัจญาล
ดัจญาล นั้น หมายถึง พวกโกหกตลบตะแลง หรือในคัมภีร์ไบเบิล เรียกว่า Anti-Chtist แอนตี้ไคร์ส (พวกต่อต้านพระคริสต์)
หะดีษต่อไปนี้ทำให้เรารู้ชัดว่า ท่านศาสดาของเราไม่ได้เป็นบุคคลแรกในบรรดาศาสดาของอัลลอฮฺที่ทำนายการปรากฏของดัจญาล ศาสดาทุกคนนับตั้งแต่นบีอาดัม ได้เตือนประชาชาติของท่านถึงการมาของดัจญาลในวันข้างหน้า แต่ที่ปรากฏในหะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลฯ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับดัจญาลไว้มากและชัดเจนกว่า
ท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของอุมัรฺ กล่าวว่า ท่านศาสดามุฮัมมัดได้ยืนขึ้นท่ามกลางประชาชาติ และเมื่อท่านได้สรรเสริญอัลลอฮฺแล้ว ท่านได้กล่าวถึงดัจญาลและกล่าวว่า
”ฉันขอเตือนท่านถึงมัน ไม่เคยมีนบีคนไหนที่ไม่เคยเตือนประชาชาติของท่าน นบีนุหฺ (โนอาหฺ)ได้เตือนประชาชาติของท่าน แต่ฉันจะบอกแก่ท่านในบางสิ่งที่ไม่มีนบีคนใดบอกแก่ประชาชาติของท่านมาก่อน ท่านจงรู้ไว้ว่า ดัจญาลนั้นมีตาเดียว แต่อัลลอฮฺนั้นมิได้มีตาเดียว” (บุคอรี,มุสลิม,และมิซกาด อัล-มะซอบิหฺ บทฟิตนะฮฺ)
นบีมุฮัมมัด ซ็อลฯ ได้อธิบายถึงความศรัทธาและวัฒนธรรมของพวกมันที่จะปรากฏกระจ่างขึ้นในวันข้างหน้า และท่านก็ยังเตือนมุสลิมให้ป้องกันตนเองจากพวกมันและให้ขอพรต่ออัลลอฮฺในการนมาซ 5 เวลา มีความหมายต่อไปนี้
ท่านหญิงอาอีชะฮฺ รายงานว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด ซ็อลฯ เคยกล่าวไว้ในการวิงวอนขอพรว่า
“ฉันขอพึ่งพาต่ออัลลอฮฺ ซุบฯ จากการลงโทษในหลุมฝังศพ และฉันขอที่พึ่งต่อพระองค์จากการทรมานของ อัด-ดัจญาล”(บุคอรี 10:149)
ได้มีการรวบรวมวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด เกี่ยวกับเรื่องดัจญาลไว้มากมาย แต่จะขอหยิบยกหะดีษเพียงบางส่วนจากหะดีษเหล่านี้ในการอธิบายเรื่องของ อัด*ดัจญาล
1. ท่านนบีได้บอกแก่สาวกของท่านว่า เมื่อเวลามาถึง และพวกเขาได้ยินว่า ดัจญาลได้เกิดขึ้น พวกเขาต้องอ่านสิบโองการแรกและสิบโองการสุดท้ายของอัล-กรุอาน บทอัล-กะฮฺฟี(ชาวถ้ำ)และเขาเหล่านั้นจะปลอดภัยจากสิ่งหลงผิด จากการไต่สวนและการทรมานของดัจญาล (หมายถึง การอ่านด้วยความเข้าใจและปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น)
(สุนัตของ อิบนุมาญะฮฺ36:33,สุนัดของอบู ดาวุด 36 :14,ติรฺมีซี,ซะมาอีล31:95,สุนัดของ อะหฺมัด บทที่ 6เล่มที่ 1หน้า 446)
เหตุผลที่ท่านศาสดา แนะนำให้สาวกของท่านอ่าน อัล-กรุอาน 20 โองการดังกล่าวก็เพราะว่า โองการเหล่านั้นได้พูดถึงพวกคริสเตียนที่หลงทาง ดังนั้นจึงไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อยว่า การทรมานของดัจญาล นั้นย่อมหมายถึงการทรมานของบรรดาชาติคริสเตียนหรืออารยธรรมวัตถุนิยมซึ่งเราเผชิญอยู่ในทุกวันนี้
และนามของพวกแอนตี้พระคริสต์หรือแอนตี้ไครสต์ที่ถูกขนานนามให้แก่มันนั้น ก็เนื่องจากความจริงที่ว่า พวกนี้อยู่ตรงข้ามของคำสอน พระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งไม่เคยสอนถึงเรื่องความเป็นบุตร หรือการไถ่บาป กรุอานได้เตือนถึงเรื่องความเชื่อเช่นนี้ไว้อย่างชัดเจน และจุดประสงค์ของการมาของท่านศาสดามุฮัมมัดนั้น “เพื่อเตือนสำหรับบรรดา ผู้กล่าวว่า อัลลอฮฺตั้งพระบุตรขึ้น” (กรุอาน 18:44)
“บรรดาผู้ปฏิเสธนึกคิดกระนั้นหรือว่า พวกเขาจะเอาบ่าวของฉัน(อีซา)เป็นนายอื่นนอกจากฉัน” (กรุอาน 18:102)
เกี่ยวกับเรื่องลักษณะของชีวิตที่หลงใหลในวัตถุนั้น เราได้พบในอัล-กรุอานว่า
“บรรดาที่วิริยะของพวกเขาสูญไปด้วยการฝักใฝ่ในชีวิตของโลกนี้ และพวกเขากระหยิ่ม(ด้วยความโง่เขลา)ว่า พวกเขากำลังทำผลิตกรรมที่ดี” (กรุอาน 18:104)
มุสลิมบางคนเชื่อว่า ถ้าหากเขาอ่านกรุอานในตอนที่เกี่ยวกับดัจญาลให้มันได้ยิน ดัจญาลก็จะหนีไปด้วยความกลัว การอ่านกรุอานอย่างเดียวนั้นจะทำให้ตัวอะไรต่อมิอะไรหนีไปด้วยความกลัวอย่างนั้นหรือ ? ความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อในรูปแบบของคาถาอาคม ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจว่ามันยังคงเป็นอยู่ทุกวันนี้ โดยแท้ที่จริงแล้วโองการเหล่านี้ต้องอ่านด้วยความเข้าใจ จึงจะรู้ลักษณะของดัจญาล และด้วยความรู้ความเข้าใจนี้ มนุษย์ก็จะสามารถปกป้องตนเองจากความเสื่อมเสียและการชักจูงไปในทางที่หลงผิดจากพวกดัจญาล เช่นความเชื่อในเรื่องการเป็นพระบุตรของพระเยซู
2. เมื่อดัจญาลปรากฎขึ้น ผิวเนื้อสีหน้าของมันจะเป็นสีขาว ตาข้างขวาของมันจะมืดบอด แต่ตาข้างซ้ายของมัน จะเป็นประกายคล้ายดวงดาว(บุคอรี 77,68-92 และสุนัต ของอะหฺมัด เล่มที่ 1หน้า 240-374)
กล่าวโดยทั่วไปแล้ว บรรดาชาติยุโรปเป็นชาติที่คนมีผิวเนื้อสีขาว และที่กล่าวว่าตาข้างขวาของมันจะมืดบอดนั้น ไม่ได้หมายถึงในส่วนที่เป็นรูปธรรม แต่เป็นการมืดบอดทางจิตใจ หมายถึงการไม่คิดถึงเรื่องชีวิตหลังความตาย และที่กล่าวว่าตาข้างซ้ายของมันจะสุกใสเหมือนดวงดาวนั้นหมายถึงว่า พวกมันจะค้นพบสมบัติอันมีค่าบนหน้าแผ่นดินในโลกนี้ และได้รับความสะดวกสบายจากสิ่งที่มันได้ค้นพบ จนกระทั่งมันลืม ทิ้งชีวิตทางด้านจิตวิญญาณ ท่านศาสดาของเราเคยพูดว่า ข้างขวาของมนุษย์นั้นคือสวรรค์ และข้างซ้ายนั้นคือนรก ดังนั้น..ความสุกใสของตาข้างซ้ายจึงหมายถึงความหลงใหลในชีวิตของความสุขสบาย ซึ่งหันเหมนุษย์ออกจากทางที่ถูกต้องและนำเขาสู่นรก เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรุอานได้กล่าวไว้แก่เราอย่างชัดเจนว่า
“และผู้ใดตาบอดในโลกนี้ ดังนั้นเขาจะบอดในปรโลกด้วย”(กรุอาน 17:72)
3. บนหน้าผากของดัจญาลจะถูกเขียนว่า กาเฟรฺ หมายถึงผู้ที่ไม่ศรัทธา มุสลิมทุกคนสามารถที่จะอ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้หนังสือหรือไม่ (สุนัตของ อะหฺมัด เล่ม 2 หน้า 228-250)
เราจะเห็นได้ว่า ได้มีพวกคณะเผยแพร่ศาสนาคริสเตียนของชาวตะวันตกไปทั่วทุกหนแห่งของโลก เพราะงานเผยแพร่ของพวกนี้ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จในงานดังกล่าวขึ้นอยู่กับอำนาจทางการเมือง อิทธิพล และเงินทุนมหาศาลที่พวกเขามีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม คำสอนของพวกเขาตลอดจนความเชื่อที่ว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า หรือความเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงมุสลิมที่แท้จริงได้แม้กระทั่งผู้ที่ไม่รู้หนังสือ เพราะอิสลามเป็นศาสนาที่เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และผู้ใดที่มีความเชื่อในเรื่องภาคีของอัลลอฮฺก็ถูกถือว่าเป็น กาเฟรฺ ทันที ดังนั้นคำพูดที่ว่า มุสลิมผู้ศรัทธาทุกคนสามารถที่จะอ่าน และเข้าใจคำว่า กาเฟรฺ ซึ่งเขียนไว้บนหน้าผากของพวกดัจญาลได้นั้น จึงเป็นคำเปรียบเทียบให้เรามองเห็นภาพพจน์ที่มุสลิมสามารถมองเห็นพวก กาเฟรฺ ได้อย่างไรนั่นเอง
4. และมัน(ดัจญาล)จะรักษาคนตาบอด คนเป็นโรคเรื้อน และทำให้คนตายกลับมีชีวิตขึ้นอีก (คานซฺ อัล-อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า 2080)
อันนี้หมายถึง คนที่อยู่ในอิทธิพลของพวกดัจญาลจะมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ จนเขาสามารถที่จะทำในสิ่งที่เมื่อก่อนดูแล้วว่าเป็นไปไม่ได้
หากใครคิดสักนิดจะเห็นว่า สิ่งต่างฯที่กล่าวมานี้ ได้อุบัติขึ้นมาแล้วในโลกปัจจุบัน ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการแพทย์แผนปัจจุบัน สามารถที่จะรักษาชีวิตคนไข้ให้ยืนยาวกว่าเมื่อก่อนได้มาก ระบบลมหายใจเทียม การถ่ายเทเลือด การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะต่างฯ แม้กระทั่งการทดลองที่จะนำชีวิตคนตายกลับคืนมาใหม่ก็ได้เคยทดลองมาแล้วเมื่อ 80 ปีก่อนโดยนำร่างของคนตายเข้าไปไว้ในห้องเย็นที่มีความเย็นจัด โดยหวังว่าชีวิตคนตายจะกลับฟื้นขึ้น วิธีดังกล่าวประสบผลสำเร็จกับสัตว์เพียงบางชนิดเท่านั้น ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงคำพยากรณ์ทั้งสิ้น
5. เบื้องใต้ดัจญาลนั้นเป็นลาสีขาว ความยาวของหูแต่ละข้างมีขนาดถึงสามสิบหลา และก้าวหนึ่งของมันจะเป็นระยะทางเท่ากับการเดินทางหนึ่งวัน(คานซฺ อัล-อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า 1998-2104 และใน มิซกาต อัล-มะศอบิหฺ บทฟิตนะฮฺ)
คำพยากรณ์ข้างต้นนี้ไม่ได้หมายถึงความแข็งแรงทางด้านสรีระของลา แต่หมายถึงพลังอำนาจทางวัตถุของชาติที่มีเทคโนโลยีในการสร้างยานพาหนะ ที่สามารถเดินทางได้ในระยะไกลโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง และความยาวของหูแต่ละข้างมีขนาดถึง 30 หลานั้นก็คือ ปีกเครื่องบิน
6. เรากล่าวว่า “โอ้ ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮฺ ดัจญาลจะเดินทางบนโลกนี้เร็วเพียงไหน?” ท่านศาสดาตอบว่า “เหมือนดังปุยเมฆที่ถูกลมพัด ดัจญาลจะกระโดดไปมาระหว่างสวรรค์และนรก”(สุนัตของอบูดาวุด และมิซกาต อัล-มะศอบิหฺ)
นักอรรถธิบายมุสลิมบางคนซึ่งไม่เคยคาดคิดถึงเรื่องเครื่องบิน ต่างคิดว่านี่เป็นพลังของดัจญาล แต่โดยความจริงแล้ว คำพยากรณ์นี้ส่อให้เห็นถึงการสื่อสารคมนาคมใหม่ฯทางอากาศ ซึ่งสามารถส่งข้ามจากฟากฟ้าถึงบนพื้นโลกมากกว่าที่จะตีความว่าเป็นเครื่องบินไอพ่น หรือว่ายานอวกาศ ที่โคจรอยู่บนท้องฟ้า และการเดินทางในอวกาศก็เหมือนกับลมที่พัดปุยเมฆ
7. ทะเลจะลึกแค่ข้อเท้าของดัจญาล (คานซฺ อัล-อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า 2998)
อันนี้หมายถึง เรือโดยสารใหญ่ฯและเรือดำน้ำ การสร้างบ้านใต้ทะเล อุโมงค์รถไฟฟ้าผ่านช่องแคบทางทะเล และการสื่อสารติดต่อใต้น้ำจึงหมายความถึงว่า ความลึกทางทะเลนั้นไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกดัจญาล
8. มัน(ดัจญาล)จะควบคุมท้องฟ้าและจะทำให้ฝนตกมายังโลก และมันจะผลิตพืชผล(มิซกาต อัล-มะศอบิหฺ บท ฟิตนะฮฺ)
นักอรรถธิบายบางคนคิดว่าดัจญาลจะทำให้ฝนตกด้วยอำนาจของมัน ซึ่งความจริงไม่ถูกต้อง สิ่งที่พวกดัจญาลทำก็คือ การใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สร้างฝนเทียม และเทคโนโลยีการปรับแต่งสภาพอากาศ ขึ้นมาเพื่อเพื่อความพอใจ
9. ศรัตรูของอัลลอฮฺ(ดัจญาล)จะปรากฏขึ้น และจะมีกองทัพยะฮูดี และชายหญิงประเภทต่างฯอยู่กับมัน(คานซฺ อัล-อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า 2028,2065,2114,2116,2974,2998)
คำพยากรณ์ของท่านนบีฯเป็นจริงต่อสายตาเราในปัจจุบันนี้แล้ว เพราะถ้าหากเรามองไปที่ดินแดนปาเลสไตน์เราจะพบว่า พวกยะฮูดี(ยิว) ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากชาติยุโรปและอเมริกา เอาชนะเหนือดินแดนอาหรับได้อย่างไร และผลจากการนี้ทำให้ชาวอาหรับเกือบสองล้านคนต้องเป็นผู้ไร้ที่อยู่ มีชีวิตอยู่อย่างอดยาก และถูกทอดทิ้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายด้วยความหวังอันริบหรี่ที่จะกลับมาสู่มาตุภูมิของตน
เหตุผลที่ทำให้ยะฮูดี(ยิว)อยู่กับดัจญาลนั้น ไม่เป็นการยากที่เราจะค้นหา ทั้งนี้เพราะว่ายะฮูดีเป็นเจ้าของเงินจำนวนมหาศาลที่จะช่วยรัฐบาลนัศรอนี(คริสเตียน) ซึ่งเห็นได้ชัดในปี คศ.1965 เมื่ออังกฤษ ฝรั่งเศสและอิสราเอล ได้โจมตีสุเอช อันเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างพวกเขากับชาวอาหรับ
อีกครั้งหนึ่งในปี คศ.1967 ระหว่างสงครามอาหรับกับอิสราเอล แม้ว่าสองชาติมหาอำนาจ อังกฤษและฝรั่งเศสจะไม่ได้เข้าร่วมสงครามโดยตรง แต่ทั้งสองประเทศก็ได้วางแผนการดัดหลังอาหรับเอาไว้อย่างแยบยล
รัสเซียแนะนำให้อาหรับเตรียมป้องกันตนเอง ขณะที่อิสราเอลกำลังเตรียมแผนที่จะโจมตี และเมื่ออาหรับจัดการป้องกันการโจมตีจากอิสราเอล อเมริกาและชาติตะวันตกก็ให้พวกอาหรับรับประกันว่าจะไม่ยิงก่อน เมื่ออาหรับได้ให้คำประกันแล้ว อเมริกาและรัสเซียก็กลับไปแนะให้อิสราเอลจู่โจมอาหรับ ภายในสองชั่วโมง อาหรับก็แทบจะไม่มีอุปกรณ์คุ้มกันอะไรเหลืออยู่เลย และภายใน 6 วัน อิสราเอลก็สามารถเข้าครอบครองดินแดนอาหรับได้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งเยรูซาเล็มทั้งหมดด้วย
ปัญหานี้ก็คือ ใครเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากรณีดังกล่าว? คำตอบก็คือรัสเซียนั่นเอง รัสเซียรู้ว่า อาหรับมีโอกาสน้อยมากที่จะเอาชนะอิสราเอล เพราะอิสราเอลได้รับการช่วยเหลือจากอเมริกาและยุโรป ผลประโยชน์ดังกล่าวก็คือ เพื่อที่ว่าอาหรับจะได้หันไปพึ่งรัสเซียทางด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจมากขึ้น และรัสเซียจะได้เข้าไปควบคุมดินแดนของมุสลิมนั่นเอง
10. ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าว่า ไม่มีการสอบสวนและการทรมานใดฯยิ่งใหญ่ไปกว่าของดัจญาลนับตั้งแต่การสร้างมนุษย์จนถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ (มิซกาต อัล-มะศอบิหฺ และ คานซฺอัล-อุมมาล บทที่ 7 หน้า 2028)
ทั้งนี้เพราะว่าดัจญาลจะสร้างความปั่นป่วน ความเกลียดชังระหว่างชาติต่างฯขึ้น ดังที่เราได้เห็นในทุกวันนี้ ท่านนบีอีซาได้กล่าวว่า
“จะเกิดโกลาหลขึ้นในระหว่างประเทศต่อประเทศ อาณาจักรต่ออาณาจักร ทั้งจะเกิดการกันดารอาหารและแผ่นดินไหวหลายแห่ง เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกของความทุกข์” (มัทธาย 24:7-8)
สิ่งเหล่านี้เราสามารถเห็นได้ชัด สงครามโลกครั้งที่1และ2 พวกยิวเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังยุยงให้มนุษย์ทำสงครามรบราฆ่าฟันกันเอง ผลของสงคราม ทำให้ทหารและพลเรือนต้องล้มตายเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ความยากจน ความหิวโหย การพลัดพราก คนไร้ที่อยู่อาศัยและอื่นฯ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะเห็นได้ว่า การวิวาทบาดหมางได้เกิดขึ้นอีกครั้งในรูปแบบของสงครามเย็น คือสงครามทางด้านความคิดระหว่างลัทธิคอมมิวนิสต์กับลัทธิทุนนิยมหรือที่เรียกให้สวยหรูว่าระบบประชาธิปไตย ยิวเป็นผู้สร้างลัทธิทั้งสองนี้ขึ้นมา และหลอกลวงผู้คนให้รบราฆ่าฟันกันเองจากความเชื่อในอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน จนมาถึงสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ได้เกิดสงครามในรูปแบบใหม่ที่ยิวและชาติมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง นั่นคือสงครามความเกลียดชังทางด้านศาสนาโดยใช้ชีอะห์เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างมุสลิม เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรีย อิรัค หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงยาในพม่า ยุยงให้ชาวพุทธเกลียดชังชาวมุสลิม รวมทั้งในดินแดน 3 จังหวัดทางภาคใต้ของไทยและที่อื่นฯ สิ่งเหล่านี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะของดัจญาล
11. ดังนั้น ทรัพย์สมบัติของโลกจะตามมัน(ดัจญาล)เหมือนกับบรรดาผึ้งตามราชีนีของมัน (มิซกาต อัล-มะซอบิหฺ บท ฟิตนะฮฺ)
จากคำพยากรณ์นี้เราจะเห็นว่า ชาติยโรปได้ขนขวายหาทรัพย์สมบัติต่างฯที่ซ่อนเร้นบนหน้าปฐพีและท้องทะเล มหาสมุทรต่างฯมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่พวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนอำนาจและความมั่นคงก็จะตามพวกเขาไป การควบคุมการเงินของโลก ทำให้พวกเขาสามารถที่จะกำหนดโชคชะตาของชาติอื่นได้อย่างเต็มที่
12. เมื่อดัจญาลปรากฎขึ้น และมันไม่สามารถที่จะทำให้โลกทั้งหมดอยู่ใต้อำนาจเพทุบายและความเชื่อผิดฯของมัน...ชาติคริสเตียนกับธงทั้งแปดสิบ จะยืนหยัดในความพยายามที่จะนำมาซึ่งการทำลายล้างแก่มวลมนุษยชาติ (มิซกาต อัล-มะศอบิหฺ บท ฟิตนะฮฺ)
ในคำพยากรณ์นี้ ทำให้เราได้คิดถึงการก่อตั้งสันนิบาตนานาชาติ(องค์การสหประชาชาติ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในอันที่จะนำมาซึ่งสันติภาพของโลก แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชาติมุสลิมและอีกหลายฯชาติได้ถูกองค์การนี้หลอกลวงและหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากการก่อตั้งสันนิบาตินานานชาติ ดร.มุฮัมมัด อิกบาล ปรัชญาเมธีและกวีนามอุโฆษของปากีสถานได้เตือนมุสลิมไว้ว่า “มันไม่ใช่สันนิบาตนานาชาติแต่เป็นสันนิบาตของโจร ดังนั้นจงออกห่างจากมัน” อิกบาลพูดไว้ถูกต้องอย่างไร เราก็ได้เห็นแล้วว่าชาติตะวันตกต่างฯได้ทำลายกฏบัตรของสหประชาชาติหลายครั้ง ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น ปัจจุบันเราก็ได้เห็นแล้วว่า ประวัติศาสตร์ทำนองนี้ได้เวียนมาอีกครั้งหนึ่งในองค์การสหประชาชาติ และยิ่งกว่าเก่าอีกด้วยซ้ำไป
13. สิ่งสุดท้ายที่ตามมัน(ดัจญาล)ก็คือผู้หญิงและเด็กที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย(คานซฺ อัล-อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า 2116-2998)
หมายความว่า ดัจญาลจะมีอิทธิพลต่อสตรีในทางที่จะทำให้บรรดาสตรีมีสิทธิเสรีภาพจากขอบข่ายของศีลธรรม และมีเสรีภาพในอันที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา ดังจะเห็นได้ในสังคมของชาวตะวันตก เช่นการแต่งกายที่โชว์เรือนร่าง ความเสรีในเรื่องเพศ(สำส่อนทางเพศ)
ทัศนคติเช่นนี้ยังผลให้มีเด็กนอกกฎหมายเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จากรายงานของนิตยสารไทม์ในลอนดอนกล่าวว่า ทุกฯเด็ก 8 คนจะมีเด็กนอกกฎหมาย 1 คน สถิติเช่นนี้เกิดขึ้นในปารีส นิวยอร์ค และเมืองใหญ่ฯในอเมริกาและยุโรป
ไม่ว่าดินแดนไหนที่พวกเขาครอบครอง พวกเขาจะประพฤติความชั่วช้าลามกเหล่านี้ สตรีมั่วสุมอยู่กับเพศตรงข้ามจนแยกไม่ออก สวมใส่แฟชั่นเปลือยกาย มีเซ็กส์กันตั้งแต่อยู่ในวัยเรียนจนถึงเป็นผู้ใหญ่ สื่อต่างฯความบันเทิงมีแต่เรื่องกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ความเสรีในเรื่องเพศ การดื่ม การพนัน เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของเด็กนอกกฏหมายในยุฏรปและอเมริกาทั้งสิ้น
ความเลวทรามต่ำช้าแพร่ขยายออกไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง จนถึงขนาดที่ว่าประเทศมุสลิมจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน ท่านนบีฯจึงได้เตือนเราไว้ว่า “สิ่งสุดท้ายที่จะตามดัจญาลก็คือผู้หญิง”
พระเยซูก็เคยสอนไว้ว่า “สตรีนั้นจะประดับประดาตัวเธอเองด้วยเครื่องแต่งตัวที่สุภาพ ด้วยใบหน้าที่มีความละอายและความสุขุม ไม่ใช่ด้วยผมที่ประดับด้วยเกลียวทองหรือด้วยทอง หรือด้วยไข่มุก หรือประดับกายด้วยความฟุ่มเฟือย”(ธีโมธียฺ 1:2-9)
เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากที่คำสอนของท่านนบีฯ ซึ่งกล่าวไว้เมื่อ 1400 ปีมาแล้ว ได้ปรากฏเป็นความจริงขึ้นในปัจจุบัน
14. เมื่อดัจญาลปรากฏขึ้น บรรดาสตรีจะมีลักษณะของบุรุษ และบุรุษจะมีลักษณะของสตรี(คานซฺ อัล-อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า 2998)
คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนัก สิ่งที่ได้กล่าวนี้สามารถเห็นได้ทั่วไป พวกรักร่วมเพศเกิดขึ้นมากมายโดยเป็นที่ยอมรับของสังคม การผ่าตัดแปลงเพศ กฎหมายรับรองเพศที่สามในบางประเทศ วันเกย์โลก และอื่นฯ
15. และเมื่อดัจญาลปรากฎขึ้นจะไม่มีส่วนไหนของโลกที่มันจะไม่ได้ครอบครอง เว้นแต่เมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ (คานซฺ อัล*อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า2028-2088)
ใครก็ตามที่อ่านเรื่องประวัติศาสตร์ของสองเมืองดังกล่าวมา จะพบว่าตั้งแต่มีท่านศาสดามุฮัมมัด ซ็อลฯ ไม่เคยมีผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม หรือคณะเผยแพร่คริสเตียนสักคนเดียวที่ได้เหยียบเท้าลงบนแผ่นดินต้องห้ามทั้งสองแห่งนี้ นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่ง
16. ใครก็ตามที่ได้ยินเกี่ยวกับดัจญาลก็ควรจะออกห่างจากมัน ด้วยอัลลอฮฺ จะมีคนหนึ่งมาหามัน และเขา(มุสลิม)จะคิดว่ามัน(ดัจญาล)เป็นผู้ที่ศรัทธา แต่เขาจะตามมันในเรื่องที่สงสัย ซึ่งมันจะสร้างขึ้นในใจของพวกเขา (คานซฺ อัลอุมมาล เล่มที่ 7 หน้า 2057)
ดังคำกล่าวข้างต้น ศรัทธาชนมุสลิมซึ่งคบค้าสมาคมกับพวกยุโรปจะเข้าใจได้ชัดว่า พวกนี้ทำงานเพื่อที่จะขยายอิทธิพล โดยการพูดจาไพเราะ ให้ของกำนัล ตลอดจนคำสัญญาและการอำนวยความสะดวกต่างฯ ถ้าหากเขาไม่สามารถที่จะหันเหคนอื่นให้คล้อยตามมาอยู่ในทางของเขาได้ พวกเขาก็จะสร้างความกังขาเอาไว้ในใจของมุสลิมและให้หันห่างออกจากศรัทธาเดิม
17. จะมีคนบางคนที่สมคบกับดัจญาล เขาจะกล่าวว่า เราเอาดัจญาลเป็นพวก แม้เราจะรู้ว่าดัจญาลไม่ใช่ผู้ที่ศรัทธา เราก็จะคบกับมันเพื่อที่เราจะได้กินอาหารของมัน (คานซฺ อัล*อุมมาล เล่มที่ 7 หน้า2092)
นี่เป็นการเตือนสำหรับมุสลิมในทุกวันนี้ เพราะมุสลิมบางคนเป็นทาส ของความราคะ พวกเขารู้ว่าวัฒนธรรมของชาวยุโรปนั้นเน่าแฟะ แต่เขาก็ยังหกหมุนอยในความชัวเหล่านั้น พวกเขารับเอาอารยธรรมตะวันตกมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตและละทิ้งการใช้ชีวิตตามแบบอิสลาม
อีกทัศนะหนึ่ง หมายถึงผู้นำมุสลิมบางคนที่ยอมรับใช้ชาติมหาอำนาจ ยอมทรยศต่อความเป็นมุสลิมและประชาชนของตนเพื่อหวังในผลประโยชน์และอำนาจที่มันหยิบยื่นให้
วจนะของท่านศาสดาฯ ได้เป็นความจริงอีกข้อหนึ่ง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า “ประชาชาติของฉันจำนวนมากจะตามพวกดัจญาล” (มิซกาต อัล-มะศอบีหฺ บท ฟิตนะฮฺ)
เขียนโดย ดาบแห่งอัลเลาะห์ อะคาเดมี่