ทำไมละหมาด 5 เวลา ยังตกนรกได้


51,048 ผู้ชม

ทำไมละหมาด 5 เวลา ยังตกนรกได้ พวกเราทั้งหลาย ต้องถูกลงโทษอยู่ในนรก แม้ว่าเราไม่ทิ้งละหมาด 5 เวลาก็ตาม...


ทำไมละหมาด 5 เวลา ยังตกนรกได้

พวกเราทั้งหลาย ต้องถูกลงโทษอยู่ในนรก แม้ว่าเราไม่ทิ้งละหมาด 5 เวลาก็ตาม

เพื่อเป็นข้อคิด และข้อเตือนใจไปด้วยกัน จากเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

มลาอิกะห์ 2 ท่าน (ทูตของอัลเลาะห์) กำลังลากผู้ชายคนหนึ่งไปยังไฟนรก ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย ในขณะทีไฟนรกกำลังลุกโชนอย่างน่ากลัวที่สุด ผู้ชายคนนั้นตะโกนร้องจนสุดเสียงด้วยความกลัวเป็นอย่างยิ่ง ร้องๆๆ เผื่อว่าใครสามารถที่จะช่วยเขาได้เข้าตะโกนร้องๆๆ พร้อมกับกล่าวถึงความดีที่เขาได้กระทำไว้ เขาทำดีกับพ่อแม่ เขาถือศีลอดในเดือนรอมฎอนไม่เคยขาด ไม่เคยทิ้งละหมาด 5 เวลา เขาบริจาคทาน เขาอ่านกุรอ่านเป็นเนื่องๆ สารพัดความดีที่เขาต้องร้องอัางถึง

ทำไมละหมาด 5 เวลา ยังตกนรกได้

ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า คนๆหนึ่งหากหนัาบ้านของเขามีคลองอยูสายหนึ่ง ทุกๆวันเขาจะอาบน้ำในคลองนั้นวันละ 5 ครั้ง ในตัวของเขาจะมีความสกปรกหลงเหลืออีกใหม เช่นเดียวกัน หากคนๆหนึ่งดำรงค์การรักษาละหมาดทุกวัน วันละ 5 เวลา บาปที่ติดตัวของเขาก็จะหมดไป

ชายคนนั้นยังคงร้องๆๆ โอ้ละหมาด ละหมาดของฉัน ใหนละ! การถือศีลอดของฉัน ไหนละ! การบริจาค การทำความดีต่อพ่อแม่ของฉัน จนแล้วจนรอด มลาอิกะห์ 2 ท่านนั้นก็ไม่ฟังเสียงร้องอ้อนวอนของเขา ยังคงลากชายคนนี้ เข้าใกล้ไฟนรกทุกที เขาเหลียวหลังไปแว้บหนึ่ง เผื่อมีใครสักคนที่จะช่วยเขาได้ แต่ความหวังของเขาสิ้นสุดแล้ว เมื่อมลาอิกะห  2 ท่านจับเขาโยนเขาไปในกระทะน้ำร้อนที่เดือดพล่าน ไฟนรกลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกถึงความเจ็บปวด ทรมานอย่างแสนสาหัส ถูกทรมานอยู่ในนั้นถึง 70 ปี

หลังจาก 70 ปีผ่านไป เขารู้สึกว่า มีมือหนึ่งมาดึงทั่งแขนของเขา แล้วลากเขาขึ้นมาจากไฟนรก พอเขาแหงนหน้าขึ้นมา ก็เห็นผู้ชายแก่ๆคนหนึ่ง เครายาว สีขาว กำลังจับแขนเขาอยู่ ชายคนนั้นก็มองไปที่ชายแก่คนนั้นด้วยความสงสัย ในขณะที่ตัวเอง เนื้อตัวดำเมี่ยม เกรอะกรัง เปื้อนไปด้วยรอยไหม้ พลันเอ่ยถามคนแก่นั้นว่า...

ท่านเป็นใคร? คนแก่ก็ตอบว่า " ฉันนี่แหละคือละหมาดของท่าน" ชายคนนี้ก็ถามต่อว่า " แล้วทำไมท่านมาช่วยเราช้ามากล้ะ โอ้ละหมาดของฉัน ทำให้ฉันต้องถูกทรมานในนรกถึง 70 ปี ทำให้ร่างกายของฉันต้องมอดไหม้ เกือบจะกระจุย กระจายเป็นผุยผง พึ่งจะมาช่วยฉัน ทำไมๆๆ

คนแก่คนนั้นยิ้มๆด้วยความเวทนา พร้อมกับกล่าวว่า 

" ท่านลืมไปแล้วหรือ ตอนนี้ที่ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกดุนยา ท่านปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ท่านจะละหมาดทุกครั้ง เป็นเวลาที่ล่าช้าเสมอ ใกล้ๆ จะหมดเวลานั่นแหละ ถึงจะกุลีกุจอมาละหมาด แล้วทำอย่างลวกๆ ไม่เคยใส่ใจต่อฉัน ไม่เคยใส่ใจต่ออัลเลาะห์

ถึงเวลาละหมาดมัฆริบ ท่านจะนั่งจดจ่อกับช่องทีวี ดูละคร ดูกีฬา ถึงเวลาซุบฮฺ ท่านจะยุ่งกับงานๆ เวลาอีซากับเวลาซุบฮฺท่านจะละหมาดท้ายๆของเวลา นี่แหละที่ท่านปฏิบัติต่อฉันตลอดมา ดังนั้นแม้ว่า ท่านไม่เคยขาดละหมาด แต่ท่านบกพร่อง และเฉยเมยต่อหน้าที่ของความเป็นมุสลิม ก็ต้องถูกลงโทษเช่นนี้แหละ 

การกล่าวโต้ของคนแก่ ทำให้ชายคนนั้น สดุ้งตื่นขึ้นมา เนื้อตัวเปียกปอน เต็มไปด้วยเหงื่อ พลันก็มีเสียงอาซาน ถึงเวลาซุบฮฺ "อัลเลาะห์ฮุอักบัรๆ " เขากระวี กระวาดลุกขึ้นมาจากที่นอน ตรงไปล้างหน้า ล้างตาเอาน้ำละหมาด และสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปนี้เขาจะไม่ชักชัา และเฉยเมยต่อละหมาดอีกเป็นอันขาด อัลฮัมดุลิลละฮ. เป็นความโปรดปรานของอัลเลาะห์ที่มีต่อเขา ทำให้เขาได้สำนึก และตระหนัก ในความฝันของเขา ก่อนที่เขาจะต้องตายจริงในวันข้างหน้า

การละหมาดเป็นหัวใจหลักของการเป็นมุสลิม ที่สำคัญต้องละหมาดด้วยใจที่อิคลาส ไม่ละเลยล่าช้าจนเกือบหมดเวลาละหมาดแบบขอไปที ไม่มีความคุชัวะอฺ

แปลจาก บทความจากการบรรยาย ของ Ustaz Faqih Razak
เครดิต: ศูนย์เรียนรู้อิสลาม

มุสลิมไทยโพสต์

https://islamhouse.muslimthaipost.com/article/22477

อัพเดทล่าสุด