3 สิ่งที่ตามคนตายไปสุสาน


12,849 ผู้ชม

จะติดตามผู้เสียชีวิตไปสามประการ โดยที่สองประการจะกลับหลัง และอีกหนึ่งประการจะยังคงอยู่กับเขา สิ่งที่จะติดตามเขาไป


3 สิ่งที่ตามคนตายไปสุสาน

3 สิ่งที่ตามคนตายไปสุสาน

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ 

มีรายงานจากอัล-บุคอรีย์และมุสลิมในเศาะฮีหฺของทั้งสองท่าน จากอนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮู กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี  กล่าวว่า

«يَتْبَعُ الْمَيِّتَ ثَلاَثَةٌ، فَيَرْجِعُ اثْنَانِ وَيَبْقَى وَاحِدٌ، يَتْبَعُهُ أَهْلُهُ وَمَالُهُ وَعَمَلُهُ، فَيَرْجِعُ أَهْلُهُ وَمَالُهُ، وَيَبْقَى عَمَلُهُ» [البخاري برقم 6514، ومسلم برقم 2960]

“จะติดตามผู้เสียชีวิตไปสามประการ โดยที่สองประการจะกลับหลัง และอีกหนึ่งประการจะยังคงอยู่กับเขา สิ่งที่จะติดตามเขาไป
สมาชิกในครอบครัวของเขา ทรัพย์สินของเขา และการงานของเขา ดังนั้นสมาชิกในครอบครัว ทรัพย์สินของเขาจะกลับหลัง และการงานจะคงอยู่กับเขา”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 6514 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 2960)

อัล-หาฟิซ อิบนุ เราะญับ อัล-หัมบะลีย์  ได้อธิบายหะดีษนี้ในสารฉบับหนึ่งอันทรงคุณค่าซึ่งฉันได้สรุปคำกล่าวของท่านด้วยความรีบเร่ง ดังนี้

“และความหมายของหะดีษนี้ คือ แท้จริงลูกหลานอาดัม ในการมีชีวิตอยู่ในโลกดุนยาจำเป็นต้องมีภรรยาและลูกที่ใช้ชีวิตร่วมกัน และต้องมีทรัพย์สินเพื่อการดำเนินชีวิต ทั้งสองประการนี้ จะแยกจากเขาและเขาเองจะต้องแยกจากมันทั้งสอง ดังนั้นคนที่มีความสุขคือผู้ที่ได้นำมันมาเพื่อเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้รำลึกถึงอัลลอฮฺและเขาได้ใช้จ่ายมันไปเพื่อโลกอาคิเราะฮฺ”

ฉะนั้น เขาได้ใช้ทรัพย์สินเพื่อทำให้เขาบรรลุสู่โลกอาคิเราะฮฺ และเขาได้มีภรรยาที่ดีเพื่อช่วยเหลือเขาในเรื่องของการศรัทธา ส่วนผู้ที่ได้ทำให้สมาชิกในครอบครัวหรือทรัพย์สินเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาหลงลืมอัลลอฮฺ เขาเป็นผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสถึงเบดูอินกลุ่มหนึ่งว่า

﴿ شَغَلَتۡنَآ أَمۡوَٰلُنَا وَأَهۡلُونَا فَٱسۡتَغۡفِرۡ لَنَاۚ ١١ ﴾ [الفتح: ١١]

“ทรัพย์สินของเราและครอบครัวของเราทำให้เรามีธุระยุ่งอยู่ ดังนั้นได้โปรดขออภัยให้แก่พวกเราด้วยเถิด”
(อัล-ฟัตห์ 11)

และพระองค์ได้ตรัสว่า

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ لَا تُلۡهِكُمۡ أَمۡوَٰلُكُمۡ وَلَآ أَوۡلَٰدُكُمۡ عَن ذِكۡرِ ٱللَّهِۚ وَمَن يَفۡعَلۡ ذَٰلِكَ فَأُوْلَٰٓئِكَ هُمُ ٱلۡخَٰسِرُونَ ٩ ﴾ [المنافقون: ٩]

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย อย่าให้ทรัพย์สินของพวกเจ้าและลูกหลานของพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าหันเหจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
และใครก็ตามที่กระทำเช่นนั้นพวกเขาคือผู้ที่ขาดทุน”

(อัล-มุนาฟิกูน 9)

ในบันทึกของอัล-หากิม รายงานจากสะฮ์ลฺ บิน สะอฺด์ กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี  กล่าวว่า

«جَاءَ جِبْرِيْلُ فَقَالَ: يَا مُحَمَّدُ عِشْ مَا شِئْتَ فَإِنَّكَ مَيِّتٌ، وَأَحْبِبْ مَنْ شِئْتَ فَإِنّكَ مُفَارِقُهُ، وَاعْمَلْ مَا شِئْتَ فَإِنَّكَ مَجْزِيٌّ بِهِ، ثُمَّ قَالَ: يَا مُحَمَّدُ شَرَفُ الْمُؤْمِنِ قِيَامُ اللَّيْلِ وَعِزُّهُ اسْتِغْنَاؤُهُ عَنِ النَّاسِ» [الحاكم في المستدرك 4/360-361، برقم 7921]

 “ญิบรีลได้มาหา แล้วกล่าวว่า โอ้มุหัมมัด จงใช้ชีวิตในโลกนี้ตามที่ท่านต้องการเถิด เพราะท่านจะต้องตาย และท่านจงรักกับบุคคลที่ท่านจะรักเถิด เพราะท่านจะต้องแยกจากเขา และจงทำในสิ่งที่ท่านต้องการเถิด เพราะท่านจะถูกตอบแทนในสิ่งที่กระทำ

หลังจากนั้นก็กล่าวอีกว่า โอ้มุหัมมัด ความมีเกียรติของผู้ศรัทธาคือกิยามุลลัยล์(การละหมาดกลางคืน) และศักดิ์ศรีของผู้ศรัทธาคือความเพียงพอของเขาต่อการร้องขอจากผู้อื่น”

(มุสตัดร็อก อัล-หากิม 4/360-361 หมายเลขหะดีษ 7921)

ครั้นเมื่อลูกหลานอาดัมได้เสียชีวิตลงแล้วได้จากโลกนี้ไป สมาชิกในครอบครัวและทรัพย์สินจะไม่ยังประโยชน์อันใดแก่เขา นอกจากดุอาอ์ของสมาชิกในครอบครัวที่ขอให้กับเขา การขออภัยโทษของพวกเขา สิ่งอื่นๆ ที่ศาสนาได้บัญญัติไว้ และสิ่งที่เขาได้ใช้จ่ายไปเพื่อตัวของเขา

อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ يَوۡمَ لَا يَنفَعُ مَالٞ وَلَا بَنُونَ ٨٨ إِلَّا مَنۡ أَتَى ٱللَّهَ بِقَلۡبٖ سَلِيمٖ ٨٩ ﴾ [الشعراء : ٨٨-٨٩]

 “วันที่ทรัพย์สมบัติและลูกหลานจะไม่ยังประโยชน์อันใดเลย นอกจากผู้ที่กลับมายังอัลลอฮฺด้วยกับหัวใจอันบริสุทธิ์”

(อัช-ชุอะรออ์ 88-89)

และพระองค์ตรัสอีกว่า

﴿ وَلَقَدۡ جِئۡتُمُونَا فُرَٰدَىٰ كَمَا خَلَقۡنَٰكُمۡ أَوَّلَ مَرَّةٖ وَتَرَكۡتُم مَّا خَوَّلۡنَٰكُمۡ وَرَآءَ ظُهُورِكُمۡۖ ٩٤ ﴾ [الأنعام: ٩٤]

 “และแน่นอนพวกเจ้าได้มายังเราโดยลำพัง เฉกเช่นที่เราได้บังเกิดเจ้ามาในครั้งแรก และพวกเจ้าได้ละทิ้งสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเจ้าไว้เบื้องหลังของพวกเจ้า“

(อัล-อันอาม 94)

มุสลิมได้บันทึกไว้ในหนังสือเศาะฮีหฺ จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี  กล่าวว่า

«إِذَا مَاتَ الإِنْسَانُ انْقَطَعَ عَنْهُ عَمَلُهُ إِلاَّ مِنْ ثَلاَثَةٍ: إِلاَّ مِنْ صَدَقَةٍ جَارِيَةٍ، أَوْ عِلْمٍ يُنْتَفَعُ بِهِ، أَوْ وَلَدٍ صَالِحٍ يَدْعُو لَهُ» [مسلم برقم 1631]

 “เมื่อมนุษย์ได้เสียชีวิตลง การงานของเขาจะถูกตัดขาด นอกจากการงาน สาม ประการ

หนึ่ง..การบริจาคทานที่ถาวร

สอง..ความรู้ซึ่งเป็นประโยชน์ และ

สาม..ลูกที่ดีซึ่งขอดุอาอ์ให้กับเขา”

(บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1631)

3 สิ่งที่ตามคนตายไปสุสาน
 
กลุ่มที่หนึ่ง

ได้แก่ สมาชิกในครอบครัว(ลูกหลานและภรรยา) พวกเขาจะไม่ยังประโยชน์อันใดกับผู้ตายนอกจากผู้ที่ขออภัยโทษให้กับเขา และได้วิงวอนขอดุอาอ์ให้เขาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และบางครั้งพวกเขาก็ไม่ได้กระทำการขอดุอาอ์ให้ด้วยซ้ำ และบางครั้งบุคคลอื่นนอกเหนือจากญาติยังให้ประโยชน์แก่ผู้ตายได้มากกว่าสมาชิกในครอบครัวเสียอีก

มีคำพูดของคนศอลิห์บางท่านกล่าวว่า สมาชิกในครอบครัวได้แบ่งปันมรดกของท่าน โดยที่ได้ปล่อยให้ท่านเผชิญความเศร้าโศกแต่เพียงลำพัง เขาได้แค่ขอดุอาอ์ให้กับท่าน ในขณะที่ท่านถูกกลบดินอยู่ในหลุมฝังศพ ดังนั้นในบางครั้งสมาชิกในครอบครัวก็เป็นเฉกเช่นกับศัตรู

ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُوٓاْ إِنَّ مِنۡ أَزۡوَٰجِكُمۡ وَأَوۡلَٰدِكُمۡ عَدُوّٗا لَّكُمۡ فَٱحۡذَرُوهُمۡۚ  ﴾ [التغابن : ١٤]

 “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงบางส่วนจากคู่ครองของพวกเจ้าและลูกหลานของพวกเจ้านั้นมีบางคนที่เป็นศัตรูแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงระวังต่อพวกเขา”

(อัต-ตะฆอบุน 14)
 
กลุ่มที่สอง

ได้แก่ ทรัพย์สิน มันคือสิ่งแรกที่กลับและมันไม่ได้เข้าในหลุมพร้อมกับเขา คำว่า “มันกลับไป” เป็นการเปรียบเทียบว่ามันไม่ได้เป็นเพื่อนเขาและมันไม่ได้เข้าไปในสุสานพร้อมเขา
อิมามมุสลิมได้บันทึกในหนังสือเศาะหีฮฺ รายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮู แท้จริงนบี  กล่าวว่า

«يَقُولُ الْعَبْدُ: مَالِى، مَالِى،  قَالَ وَهَلْ لَكَ يَا ابْنَ آدَمَ مِنْ مَالِكَ إِلاَّ مَا أَكَلْتَ فَأَفْنَيْتَ، أَوْ لَبِسْتَ فَأَبْلَيْتَ، أَوْ تَصَدَّقْتَ فَأَمْضَيْتَ، وَمَا سِوَى ذَلِكَ فَهُوَ ذَاهِبٌ وَتَارِكُهُ لِلنَّاسِ» [مسلم برقم 2958]

 “ลูกหลานอาดัมจะกล่าวว่า โอ้ทรัพย์สินของฉัน โอ้ทรัพย์สินของฉัน

เขากล่าวว่า โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ยท่านมีทรัพย์สินอื่นใดอีกเล่านอกจากสิ่งที่ท่านได้บริโภคมันไปแล้ว ท่านได้ใช้จ่ายมันแล้ว หรือท่านได้สวมใส่มันแล้ว

ท่านได้ทำให้มันหมดไปแล้ว หรือท่านได้บริจาคมันผ่านไปแล้ว และสิ่งอื่นจากนั้นมันจะจากไป และมันจะเหลือทิ้งไว้ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้า”

(บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 2958)

และอัล-บุคอรีย์ได้บันทึกจากรายงานของอิบนิมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ว่า แท้จริงท่านนบี  ได้กล่าวว่า

«أَيُّكُمْ مَالُ وَارِثِهِ أَحَبُّ إِلَيْهِ مِنْ مَالِهِ؟» قَالُوا: يَا رَسُولَ اللَّهِ مَا مِنَّا أَحَدٌ إِلَّا مَالُهُ أَحَبُّ إِلَيْهِ. قَالَ: «فَإِنَّ مَالَهُ مَا قَدَّمَ وَمَالُ وَارِثِهِ مَا أَخَّرَ» [البخاري برقم 6442]

“คนใดจากพวกท่านที่ห่วงทรัพย์สินของทายาทมากกว่าทรัพย์สินของตัวเอง?”

พวกเขากล่าวว่า โอ้ท่านรอสูลุลลอฮฺ ไม่มีใครในหมู่พวกเรานอกจากจะต้องรักทรัพย์สินของตัวเองมากกว่ากันทุกคน

ท่านนบี  กล่าวว่า “แท้จริงทรัพย์สินของเขานั้นคือสิ่งที่เขาได้ใช้มันไปแล้ว และทรัพย์สินของทายาทเขาคือสิ่งที่เขาทิ้งไว้ข้างหลัง”

(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 6442)

ฉะนั้น บ่าวคนหนึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากทรัพย์สินของเขา นอกจากสิ่งที่เขาได้ใช้จ่ายไปเพื่อตัวของเขา และเขาได้ใช้จ่ายมันไปในหนทางของอัลลอฮฺ ส่วนสิ่งที่เขาได้บริโภคและได้สวมใส่มันก็ไม่เป็นบุญและบาปอันใดแก่เขานอกจากว่าเขาจะมีเจตนาที่ดีซึ่งจะทำให้เขาได้รับผลบุญ ในขณะที่อุละมาอ์บางคนมีความเห็นว่าเขาจะได้รับภาคผลบุญในทุกกรณี
 
มีพระราชาได้กล่าวกับอบู หาซิมผู้มีความสมถะว่า ทำไมพวกเราจึงเกลียดชังความตาย?

เขากล่าวว่า พวกท่านให้ความสำคัญกับดุนยา ท่านได้ทำให้ทรัพย์สินของท่านอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้างของท่าน ดังนั้นท่านก็เลยกลัวว่าจะจากมันไป

และหากท่านได้มอบทรัพย์สินไว้ล่วงหน้ากับโลกอาคิเราะฮฺ แน่นอนท่านก็ย่อมรักที่จะติดตามมันไปเร็วๆ
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ لَن تَنَالُواْ ٱلۡبِرَّ حَتَّىٰ تُنفِقُواْ مِمَّا تُحِبُّونَۚ وَمَا تُنفِقُواْ مِن شَيۡءٖ فَإِنَّ ٱللَّهَ بِهِۦ عَلِيمٞ ٩٢ ﴾ [آل عمران: ٩٢]   

“พวกเจ้าทั้งหลายจะไม่ได้รับความดีอันใดเลย จนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้ารัก และไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าได้บริจาคไป แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้ในสิ่งนั้นดี”

(อาล-อิมรอน 92)

มีรายงานว่า อิบนุ อุมัรฺ  เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา นั้น ไม่มีทรัพย์สมบัติใดที่ท่านชื่นชอบนอกเสียจากว่าท่านจะต้องบริจาคมันไปเพื่ออัลลอฮฺ จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งท่านได้ขี่อูฐตัวหนึ่งครั้นแล้วมันก็ทำให้ท่านประทับใจ ดังนั้นท่านก็ได้ลงจากหลังของมันทันที และได้ผูกมันทิ้งไว้ แล้วได้ให้มันเป็นทานไปในแนวทางของอัลลอฮฺ
 
กลุ่มที่สาม

ได้แก่ การงานที่มนุษย์ได้ประกอบไว้ในดุนยา ซึ่งมันจะติดตามไปพร้อมกับเขาในหลุมฝังศพ และจะไปพร้อมกับเขาเมื่อฟื้นคืนชีพ ตามจุดต่างๆ ในวันกิยามะฮฺ บนสะพานศิรอฏ บนตาชั่ง และการงานนี่เองจะเป็นตัวจำแนกที่พำนักว่าจะอยู่ในสวนสวรรค์หรือนรก

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ مَّنۡ عَمِلَ صَٰلِحٗا فَلِنَفۡسِهِۦۖ وَمَنۡ أَسَآءَ فَعَلَيۡهَاۗ وَمَا رَبُّكَ بِظَلَّٰمٖ لِّلۡعَبِيدِ ٤٦ ﴾ [فصلت: ٤٦]

 “ผู้ใดได้ปฏิบัติการงานที่ดีก็จะได้แก่ตัวเขา และผู้ใดได้กระทำความชั่วก็จะได้แก่ตัวของเขาเอง และพระเจ้าของเจ้านั้นมิทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์”

(ฟุศศิลัต 46)

และอัลลอฮฺตรัสอีกว่า

﴿ مَن كَفَرَ فَعَلَيۡهِ كُفۡرُهُۥۖ وَمَنۡ عَمِلَ صَٰلِحٗا فَلِأَنفُسِهِمۡ يَمۡهَدُونَ ٤٤ ﴾ [الروم: ٤٤]

 “ผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาดังนั้นการปฏิเสธศรัทธาก็จะตกอยู่กับตัวของเขา และผู้ใดได้ปฏิบัติการงานที่ดีพวกเขาก็จะเตรียมที่พักไว้สำหรับตัวของพวกเขาเอง”

(อัรรูม 44)

ชาวสลัฟบางท่านได้อธิบายอายะฮฺที่ผ่านมาว่า พวกเขาได้ผูกเปลเพื่อตัวของพวกเขาในหลุมฝังศพ ดังนั้นการงานที่ดีในหลุมฝังศพจะเป็นเสมือนเปลของเขา ในขณะที่ทรัพย์สินในดุนยาของเขาไม่ได้เป็นทั้งเสื่อ หมอน หรือเปลแต่อย่างใด ทว่าผู้ประกอบกรรมความดีในดุนยาทุกคนจะเอาความดีความชั่วของตนเป็นดั่งเช่นเสื่อหรือหมอน ดังนั้น ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะคือผู้ที่บูรณะบ้านที่เขาจะอาศัยอยู่เป็นระยะเวลายาวนาน ถึงแม้ว่าเขาจะบูรณะบ้านหลังดังกล่าว(อาคิเราะฮฺ)ด้วยความผุพังของบ้านชั่วคราว(ดุนยา)ซึ่งเขาจะจากมันไปในไม่ช้า เขาก็มิใช่เป็นคนที่ถูกหลอกหลอน แต่เขาจะเป็นผู้ที่มีกำไร

และยังมีชาวสลัฟบางคนได้กล่าวว่า

 “จงทำงานเพื่อโลกดุนยาเท่ากับระยะเวลาที่ท่านจะอาศัยอยู่ในนั้น และจงทำงานเพื่อโลกอาคิเราะฮฺเท่ากับระยะเวลาที่ท่านจะอาศัยอยู่ในนั้น”

ขณะที่อัล-หะสันได้กล่าวว่า “ชายคนหนึ่งได้ติดตามศพของพี่น้องมุสลิมของเขาไปยังสุสาน ครั้นเมื่อศพถูกวางลงในหลุม

เขาก็กล่าวว่า " ฉันไม่เห็นสิ่งใดเลยที่ติดตามท่านไปนอกจากผ้าสามผืน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แน่แท้ฉันได้ปล่อยให้บ้านของฉันมีทรัพย์สินมากมายเอาไว้

ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากพระองค์ให้โอกาสฉันกลับถึงบ้าน(หลังจากนี้) แน่นอนฉันจะนำมันมากองไว้ต่อหน้าฉัน"

เขา(อัล-หะสัน)กล่าวว่า ดังนั้น เมื่อเขาได้กลับไปถึงบ้านเขาก็นำมากองวางไว้ต่อหน้าเขา(เพื่อบริจาคจนหมด)บรรดานักปราชญ์เล่ากันว่าชายผู้นั้นคือ อุมัรฺ บิน อับดุลอะซีซ”

ที่มา:  www.islammore.com/ ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

อัพเดทล่าสุด