นบีอิบรอฮีม ประวัตินบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม (อับราฮัม) กุรบาน ประวัตินบีอับราฮัม...
ประวัตินบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม (อับราฮัม)
ท่านนะบีอิบรอฮีม เกิดที่เมืองอิรักหรือที่เรียกว่าอาณาจักรบาบิโลน สมัยนั้นพวกบาบิโลนบูชาดวงดาวต่าง ๆ และรูปเจว็ด โดยผูกพันรูปเจว็ดกับดวงดาวต่าง ๆ เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺกำหนดว่าคนที่เป็นศัตรูกับนะบีอิบรอฮีมในการทำหน้าที่เป็นนะบี คือ บิดาของท่าน ชื่อ อาซัร เป็นคนสร้างรูปเจว็ด อิบรอฮีมอยู่ในบ้านอาซัร เกิดในสิ่งแวดล้อมที่เป็นชิริกทั้งสิ้น เข้าบ้านก็เห็นแต่รูปเจว็ด ไปร้านพ่อก็มีรูปเจว็ด แล้วสัจธรรมหรือแสงสว่างจากพระผู้เป็นเจ้ามาถึงนะบีอิบรอฮีมได้อย่างไร? นี่คือบทเรียน
อย่าแปลกใจที่ยุคปัจจุบันเราเห็นบางคนที่อยู่ในวงการที่สกปรกมาก แต่อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนซอลิหฺ เนื่องจากการฮิดายะฮฺนั้นเป็นเรื่องของอัลลอฮฺ ซึ่งเราต้องตระหนักว่ามนุษย์ไม่มีหน้าที่ในการที่จะให้คนหนึ่งคนใดรับฮิดายะฮฺ แต่มีหน้าที่ในการสอน ปราบปราม เรียกร้อง ดะอฺวะฮฺ เผยแผ่ นี่คือหน้าที่ของเรา ส่วนคนที่รับคำสั่งสอนจากเรา เขาจะเชื่อหรือไม่ จะรับหรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เช่นเดียวกับที่เราสั่งสอนลูกหลานของเรา เขาจะรับหรือไม่รับเป็นเรื่องของเขา ทุกคนต้องรู้ว่าอะไรที่เป็นความดี อะไรที่เป็นความชั่ว
ก่อนที่จะไปเทศนาดะอฺวะฮฺคนอื่น นะบีอิบรอฮีมได้ทำหน้าที่ดะอฺวะฮฺครั้งแรก โดยเรียกร้องบิดาของท่านให้ละทิ้งสิ่งที่เป็นชิริก สิ่งที่เป็นกุฟรฺ คืออาชีพการสร้างรูปเจว็ด นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านนะบีอิบรอฮีมได้ประกาศสัจธรรมกับบิดา เป็นบทเรียนว่าก่อนที่เราจะสั่งสอนจะเผยแผ่คนอื่น ต้องเริ่มกับครอบครัว คนที่ไปออกดะอฺวะฮฺต่างประเทศ แต่ครอบครัวตนเองยังไม่เคยสั่งสอน นั่นผิดอย่างมหันต์ ดังที่อัลลอฮฺทรงสอนท่านนะบีมุฮัมมัดว่า
وَأَنْذِرْ عَشِيرَتَكَ الْأَقْرَبِينَ
ความว่า "จงตักเตือนวงศาคณาญาติของเจ้าที่ใกล้ชิด" [อัชชุอะรออฺ 26:214]
เครือญาติ ครอบครัวและลูกหลานของเราต้องได้รับการตักเตือนก่อนคนอื่น เป็นไปไม่ได้ที่ลูกหลานของเราดื่มสุราเสพยา แล้วไปสอนชาวบ้านว่าอย่าดื่ม อย่าเสพ ถ้าสอนแล้วลูกหลานของเราไม่เอา จึงมีสิทธิ์ไปสอนคนอื่น ถ้าสอนแล้วเขาไม่เอาไม่ได้หมายความว่าลูกหลานเรายังชั่วอยู่ไม่ต้องสอนคนอื่น ไม่ใช่ เราทำหน้าที่แล้ว แต่ฮิดายะฮฺไม่ใช่หน้าที่เรา เป็นเรื่องของอัลลอฮฺ
ท่านนะบีอิบรอฮีมเรียกร้องบิดาของท่าน แต่ไม่ได้ผล จนสุดท้ายบิดาของท่านนะบีอิบรอฮีมเบื่อ กล่าวกับท่านว่า
) قَالَ أَرَاغِبٌ أَنْتَ عَنْ آَلِهَتِي يَا إِبْرَاهِيمُ لَئِنْ لَمْ تَنْتَهِ لَأَرْجُمَنَّكَ وَاهْجُرْنِي مَلِيًّا
ความว่า "โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย! หากเจ้าไม่หยุดยั้ง (จากการตำหนิ) แน่นอน ฉันจะขว้างเจ้า (ด้วยก้อนหิน) และเจ้าจงไปให้พ้นจากฉันตลอดไป" [มัรยัม 19:46]
นะบีอิบรอฮีมถือว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว จึงเริ่มไปทำหน้าที่กับกลุ่มชนที่อยู่ใกล้ชิด ท่านไปดูสถานที่บูชารูปเจว็ดที่ทางสังคมให้ความเคารพ พบรูปเจว็ดจำนวนมาก นะบีอิบรอฮีมจึงทำลายรูปเจว็ดทุกตัว[1] เหลือแต่ตัวใหญ่ไว้ แล้วกลับบ้าน พอตอนเช้าคนเข้ามาเห็นรูปเจว็ดพังไปหมด จึงหากันว่าใครทำ
)قَالُوا سَمِعْنَا فَتًى يَذْكُرُهُمْ يُقَالُ لَهُ إِبْرَاهِيمُ
ความว่า "พวกเขากล่าวว่า เราได้ยินเด็ก[2] หนุ่มคนหนึ่งกล่าวตำหนิรูปปั้นเหล่านี้ เขามีชื่อว่าอิบรอฮีม" [อัลอัมบิยาอฺ 21:60]
พวกผู้นำบอกว่า เอาตัวมาเลย มาตั้งศาลต่อหน้าสาธารณชน คนจะได้รู้ว่าใครทำลายผู้ที่เป็นพระเจ้าของเรา อิบรอฮีมชี้ไปที่รูปปั้นตัวใหญ่ที่ยังอยู่ บอกว่า "ลองถามดูสิว่าใครทำลาย มันก็อยู่ด้วย มันหลับรึไง" ผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกบูชาเจว็ดอึ้งกันหมดเลย ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง แต่สุดท้ายก็ดื้อกับสัจธรรม ดื้อกับความจริง บอกกับนะบีอิบรอฮีมว่า ท่านต้องถูกลงโทษด้วยความผิดอย่างมหันต์ที่ท่านทำลายรูปเจว็ดของเรา
เหตุการณ์นี้ให้บทเรียนหลายเรื่อง เรื่องแรกคือ ความฉลาด ต้องเข้าใจว่าอิบรอฮีมได้อุทิศตนเองเพื่อปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับพระบัญชาจากอัลลอฮฺ ในการเทศนากับกลุ่มชนบนโลกใบนี้ และองค์ประกอบในชีวิตของท่านล้วนเป็นไปเพื่ออำนวยให้ประสบความสำเร็จ โดยมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือองค์เดียว เพราะตอนนั้นไม่มีใครมีอีมานศรัทธานอกจากท่านนะบีอิบรอฮีม[3] ถ้าอิบรอฮีมไม่ทำหน้าที่แล้วสัจธรรมจะเกิดได้อย่างไร? หมายความว่า คนที่อยู่ในโลกตอนนั้นยังไม่มีใครรับสัจธรรมเลย ฉะนั้นต้องมีสักคนหนึ่งทำหน้าที่
สำหรับปัจจุบันนี้ ถ้าใช้การทำลายรูปเจว็ดเป็นวิถีทางในการเผยแผ่จะมีผลหรือไม่? คำตอบคือไม่มีผล เพราะมีวิธีอื่นที่อาจจะมีผลดีกว่า นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้มีผลไม่ดีสะท้อนกลับสู่เรา สถานการณ์อาจไม่เอื้ออำนวย หรือมีคนอื่นกำลังทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว เช่นมีบางนิกายในพุทธศาสนาที่พูดเรื่องนี้ มีนิกายที่ไม่ยึดรูปเจว็ด ไม่ยึดรูปปั้นหรือวัตถุ
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของท่านนะบีอิบรอฮีม มีบทเรียนที่เราได้รับจากการกระทำของท่าน คือ ท่านนะบีอิบรอฮีมพยายามทำสิ่งที่กระตุ้นสติปัญญาของผู้คนให้คิด สมัยก่อนไม่มีสื่อหรือวิธีการศึกษาเหมือนปัจจุบัน จึงต้องทำสิ่งรุนแรงเพื่อกระตุ้นสติปัญญา แต่ถ้ามาทำในปัจจุบันนี้คงไม่มีคนคิดแล้ว เพราะคนสมัยนี้เมาด้วยสุรา ด้วยยาเสพติด ด้วยการพนัน คิดไม่ออก ต้องหาวิธีอื่น แต่ไม่ใช่หมายถึงไม่ทำลายรูปเจว็ดที่อยู่ภายใต้อำนาจของเรา ใครจะมาทำรูปเจว็ดในบริเวณมัสญิดที่วะกัฟไม่ได้ ใครจะมาเทศนาศาสนาอื่น ๆ ในมัสยิดหรือในที่วะกัฟก็ไม่ได้ เราต้องพยายามประคับประคอง รักษาอะกีดะฮฺภายใต้อำนาจของเรา โดยรักษาความปลอดภัยในฐานะที่เราเป็นส่วนน้อยในประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม
บทเรียนอีกประการที่ได้จาก ประวัติของท่านนะบีอิบรอฮีม คือ ท่านนะบีอิบรอฮีมได้เผชิญกับประชาชนอย่างรุนแรง ไม่มีโอกาสที่ท่านจะใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป เพราะโลกทั้งหมดเป็นกาเฟร ต้องเผชิญ พวกบูชารูปเจว็ดจึงไม่ยอม บอกว่าต้องลงโทษคนทำลายรูปเจว็ด ศาลตัดสินให้จุดไฟใหญ่โตแล้วโยนนะบีอิบรอฮีมไปเผา เมื่อนะบีอิบรอฮีมถูกโยนเข้าไปในไฟ
قُلْنَا يَا نَارُ كُونِي بَرْدًا وَسَلَامًا عَلَى إِبْرَاهِيمَ
ความว่า "เรา (อัลลอฮฺ) กล่าวว่า ไฟเอ๋ย จงเย็นลง และให้ความปลอดภัยแก่อิบรอฮีมเถิด" [อัลอัมบิยาอฺ 21:69]
พวกบูชารูปเจว็ดเห็นนะบีอิบรอฮีมเดินเล่นในไฟ แล้วออกมาไม่มีรอยไหม้อะไรเลย จึงเริ่มมีสติไตร่ตรองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้น
อีกเหตุการณ์คือ การเผชิญหน้าเรื่องการไหว้และบูชาดวงดาว ระหว่างท่านนะบีอิบรอฮีมกับกลุ่มชนของท่าน และมีเหตุการณ์การโต้เถียงกับผู้นำที่อ้างตนว่าเป็นพระเจ้า ชื่อ นัมรูด ที่บอกว่าตนเองเป็นพระเจ้า อิบรอฮีมโต้เถียงกับคนทุกระดับ เป็นบทเรียนว่านักเผยแผ่ต้องมีผลงานกับทุกระดับในสังคม พูดคุยกับชาวบ้านขึ้นไปถึงผู้นำ ไปในโบสถ์ ในสถานที่บูชาของเขา ไปถึงผู้นำสูงสุด
นะบีอิบรอฮีมพูดกับนัมรูดที่อ้างตัวเป็นพระเจ้า [ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 258] นะบีอิบรอฮีมบอกว่า "อัลลอฮฺของฉันทำให้คนเป็นและตายได้" นัมรูดบอกว่า "ฉันก็ทำได้ ฉันสั่งให้ประหารชีวิตคนที่อยู่ในคุก ฉันก็ทำให้เขาตาย หรือฉันจะบัญชาให้ปล่อยออกไป ฉันก็ให้เขาเป็น" นะบีอิบรอฮีมเถียงกับคนโง่ ๆ แบบนี้ไม่ได้ จึงต้องเอาสิ่งที่ทุบกระแทกหัวให้ตื่นซะที บอกว่าไม่ต้องพูดเรื่องเป็นเรื่องตายแล้ว "แค่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก ท่านทำให้มันออกทางทิศตะวันตกได้มั้ย"" นัมรูดตอบไม่ได้ เหตุการณ์เหล่านี้อัลกุรอานได้เล่าเพื่อให้เราใช้เป็นบทเรียนในการเผยแผ่ศาสนา ในการโต้เถียงคนที่ไม่ศรัทธากับอัลลอฮฺ และได้รู้ถึงบทบาทของท่านนะบีอิบรอฮีมด้วย
นอกจากนี้ มีเรื่องราวของท่านนะบีอิบรอฮีมที่ไม่ได้ถูกระบุในอัลกุรอาน แต่ถูกระบุในซุนนะฮฺของท่านนะบี เช่น เมื่อตอนที่ท่านนะบีอิบรอฮีมเทศนาที่เมืองบาบิโลนไม่ได้ผล ต้องอพยพไปเมืองอียิปต์กับท่านหญิงซาเราะฮฺ และเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องหนีไปอยู่เมืองชาม ท่านนะบีอิบรอฮีมอยู่กับท่านหญิงซาเราะฮฺที่เมืองชามจนอายุของท่านประมาณ 80 ปี ยังไม่มีลูก ท่านหญิงซาเราะฮฺมีทาสหญิงคนหนึ่งชื่อ ฮาญัร จึงยกให้ท่านนะบีอิบรอฮีมแต่งงานเพื่อจะได้มีลูก ท่านนะบีอิบรอฮีมก็ได้ลูกชายคนหนึ่งชื่อ อิสมาอีล เป็นคนแรก และภายหลังมีลูกกับท่านหญิงซาเราะฮฺชื่อ อิสหาก
แผนที่การอพยพของท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม
ท่านนะบีอิบรอฮีม ได้รับการทดสอบจากอัลลอฮฺในลูกคนแรกของท่านคือ ท่านนะบีอิสมาอีล เพื่อทดสอบความรักต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงสั่งให้นะบีอิบรอฮีมเชือดท่านนะบีอิสมาอีล แต่เมื่อท่านนะบีอิบรอฮีมปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลลอฮฺ กำลังจะเชือดลูก อัลลอฮฺก็ยกเลิกคำบัญชาของพระองค์ และนำแกะสองตัวมาจากชั้นฟ้าให้ท่านนะบีอิบรอฮีมเชือดแทน จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการถวายกุรบาน ที่เราเชือดกุรบานเพื่อขอบคุณถวายให้อัลลอฮฺ ดั้งเดิมมาจากศาสนาของท่านนะบีอิบรอฮีมด้วย เพราะรากฐานและเนื้อหาของศาสนาอิสลามหลายประการมาจากศาสนาของท่านนะบีอิบรอฮีม ดังที่อัลลอฮฺระบุไว้ในซูเราะฮฺอันนะหฺล
ثُمَّ أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ أَنِ اتَّبِعْ مِلَّةَ إِبْرَاهِيمَ حَنِيفًا وَمَا كَانَ مِنَ الْمُشْرِكِينَ
ความว่า "แล้วเราได้วะฮียฺแก่เจ้าว่า จงปฏิบัติตามศาสนาของอิบรอฮีมผู้เที่ยงธรรม และเขามิได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี" [อันนะหฺลฺ 16:123]
ขณะที่ท่านนะบีอิบรอฮีมอยู่ที่เมืองชาม ท่านถูกสั่งให้นำอิสมาอีลกับนางฮาญัรอพยพไปสู่เกาะอาหรับมักกะฮฺ เพื่อสร้างกะอฺบะฮฺ เรื่องนี้ถูกระบุในอัลกุรอานในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ หลังจากสร้างกะอฺบะฮฺแล้วท่านก็กลับไปอยู่กับครอบครัวของท่านที่เมืองชาม ที่นั่นอิสหากเกิด เมื่อท่านนะบีอิบรอฮีมเสียชีวิตไป มีนะบีสองท่านที่ทำหน้าที่เทศนาต่อ คือ ท่านนะบีอิสหากอยู่ที่เมืองชาม และท่านนะบีอิสมาอีลอยู่ในเกาะอาหรับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั่วโลกไม่มีนะบีอื่นนอกจากนี้ เพราะอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
إِنَّا أَرْسَلْنَاكَ بِالْحَقِّ بَشِيرًا وَنَذِيرًا وَإِنْ مِنْ أُمَّةٍ إِلَّا خَلَا فِيهَا نَذِيرٌ
ความว่า "และไม่มีประชาชาติใด เว้นแต่จะต้องมีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา" [ฟาฏิร 35:24]
ตราบใดที่มีมนุษย์อยู่บนแผ่นดินนี้ ก็ต้องมีนะบีและร่อซูลมายังพวกเขา แต่เป็นใครเราไม่รู้ อัลลอฮุอะอฺลัม อย่าชี้ขาด ถ้าระบุว่าคนนี้เป็นนะบีแน่นอน อันนี้ผิด ละเมิดสิทธิ เพราะการชี้ขาดว่าคนนี้เป็นนะบีแสดงว่าต้องศรัทธา และถ้าไม่ศรัทธาก็เป็นกาเฟร พูดอย่างนี้ไม่ได้ แต่ถ้าในเชิงศึกษาหรือวิเคราะห์ อาจจะเป็นไปได้ว่าคนนั้นหรือคนนี้เป็นนะบี เพราะเนื้อหาของการเทศนาของเขาสอดคล้องกับคำสอนของอัลลอฮฺ อาจจะเป็นไปได้ อย่างนี้ถือว่าไม่ผิด
หลังจากที่ท่านนะบีอิบรอฮีมเสียชีวิตไปแล้ว มีท่านนะบีอิสมาอีลที่เกาะอาหรับ เป็นบิดาของชาวอาหรับ และมีนะบีอิสหากเป็นบิดาของชาวยะฮูด ท่านนะบีอิสหากมีลูกชายชื่อ ยะอฺกู๊บ และยะอฺกู๊บมีบุตรชาย 14 ท่าน มีภรรยา 2 คน 12 คนมาจากภรรยาแรก เรียก อัลอัสบาฏ ซึ่งเป็นรากเผ่าตระกูลหลักของชาติยิว และอีกภรรยาหนึ่งมีลูกสองคนชื่อ ท่านนะบียูซุฟและท่านบินยามีน ทั้ง 14 ท่านถูกระบุในอัลกุรอานในซูเราะฮฺยูซุฟ แต่ที่เป็นรากตระกูลของชาวยิวคือ 12 ท่านที่เรียกว่า อัลอัสบาฏ ยูซุฟกับบินยามีนไม่มีลูกหลาน และตระกูลอาหรับทั้งปวงก็มาจากท่านนะบีอิสมาอีล โดยเฉพาะจากหลานของท่านนะบีอิสมาอีลท่านหนึ่งชื่อ อัดนาน เผ่าอาหรับทุกเผ่ามาจากตระกูลอัดนานซึ่งเป็นหลานของท่านนะบีอิสมาอีล เล่าเรื่องนี้เพื่อให้รู้ว่าเริ่มต้นมีสองประชาชาติที่อยู่ใกล้เคียงกัน เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และทุกประชาชาติก็ได้รับการช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าในการสอนสัจธรรม โดยมีนะบีและร่อซูลมายังสองประชาชาตินี้ โดยเฉพาะประชาชาติแรกคือ ชาวยิว เป็นลูกหลานของท่านนะบีอิสหาก และประชาชาติอาหรับเป็นลูกหลานของท่านนะบีอิสมาอีล ชาวยิวมีนะบีและร่อซูลมากมาย แต่สำหรับชาวอาหรับไม่ได้รับใครเป็นนะบีและร่อซูลนอกจากนะบีอิสมาอีล จนถึงท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
--------------------------------------------------------------------------------
[1] การใช้ลักษณนามของรูปเจว็ดว่า "องค์" ถือเป็นการให้เกียรติ ดังนั้นมุสลิมพึงหลีกเลี่ยง
[2] อัลกุรอานระบุว่า "เด็ก" ทำให้ทราบว่าบรรดานะบีและร่อซูลบางท่านเริ่มมีบทบาทตั้งแต่ยังเด็ก
[3] ภายหลังมีท่านหญิงซาเราะฮฺ (ภรรยาคนแรกของท่านนะบีอิบรอฮีม) ศรัทธาด้วย มีหะดีษบทหนึ่งจากท่านนะบีมุฮัมมัด รายงานว่า ท่านนะบีอิบรอฮีมเคยพูดกับท่านหญิงซาเราะฮฺว่า "ไม่มีใครในโลกใบนี้ที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ นอกจากเราสองคน"
ที่มา : เชคริฎอ อะหมัด สมะดี
islamhouse.muslimthaipost.com