ลมหายใจสุดท้ายของท่านร่อซูลุลลอฮ์


119,335 ผู้ชม

ลมหายใจสุดท้ายของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ประวัติศาสตร์อิสลามที่ทำให้น้ำตาคุณไหล....


มหายใจสุดท้ายของท่านร่อซูลุลลอฮ์ (ซล.) 

เมื่อการทำฮัจญ์อำลาได้สิ้นสุดลง บัญญัติของศาสนาอิสลามครบถ้วน สมบูรณ์ สาสน์ของอิสลามซึ่งท่านนบี (ซ.ล.) นำมาได้สิ้นสุดสมบูรณ์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อหน้าที่ของท่านในฐานะผู้เผยแผ่ศาสนาของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา  เสร็จสิ้นแล้ว ก็ต้องจากไปเหมือนกับนะบีคนอื่นๆ ที่มาก่อนหน้าท่าน ดัง อายะฮ์ที่ว่า :

ความว่า:  “เราไม่ทำให้มนุษย์คนใด ที่มาก่อนเจ้าอยู่ยังคงกระพัน แม้นว่าเจ้าตาย แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ตายกระนั้นหรือ” (อัลอันบิยาอ์ 21 : 34)

อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงทำให้ท่านนบี ได้รู้ถึงวาระสุดท้ายที่ใกล้เข้ามาในขณะที่ท่านทำฮัจญ์อำลา โดยที่พระองค์ประทานซูเราะฮ์อัลนัศร์ ลงมาว่า :

ความว่า : “เมื่อการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ได้มาถึงพร้อมกับการพิชิต (เมืองมักกะฮ์) เจ้าจะเห็นบรรดาผู้เข้ารับอิสลามของอัลลอฮ์ ระลอกแล้วระลอกเล่า ดังนั้นเจ้าจงสดุดี จงสรรเสริญและจงขออภัยโทษต่อพระผู้อภิบาลของเจ้าเถิด เพราะพระองค์ทรงตอบรับผู้สำนึกผิดกลับตัวเสมอ” ( อันนัศร์ 110 : 1-3)

ลมหายใจสุดท้ายของท่านร่อซูลุลลอฮ์

และอายะห์สุดท้ายที่กล่าวว่า :

“วันนี้เราได้ทำให้ศาสนาของพวกท่านสมบูรณ์แล้ว และความโปรดปรานของข้าที่ให้แก่พวกท่าน ก็สมบูรณ์เช่นกัน และเราพอใจที่จะให้อิสลามเป็นศาสนาของท่าน” (อัลมาอิดะฮ์ 5 : 3)

ท่านนบีได้ทราบถึงวาระสุดท้ายของท่าน และท่านได้กล่าวคุฎบะห์ในขณะทำฮัจญ์อำลา และหลังจากกลับมาที่มะดีนะฮ์ (ซอเฮี๊ยอัลบุคอรีกิตาบุลตัฟซีรบาบุตัฟซีรซูเราะตุ้ลนัศรฺ.ตัฟซีร อิบนุกะซีร 8/529) ท่านก็เริ่มป่วย

หลังจากที่ท่านกลับจากฮัจญ์สามเดือน ท่านก็เริ่มป่วยและอาการป่วยได้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่านจึงขออนุญาตบรรดาภรรยาของท่านในการที่จะมาพักที่บ้านของท่านหญิง อาอีชะห์ เราะฏิยัลลอฮุอันฮา พวกนางก็อนุญาต และได้ใช้ให้ท่านอบูบักร เป็นอิมามนำละหมาดแทน และในวันสุดท้ายท่านมีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและได้มองบรรดามุสลิมีน ที่กำลังละหมาดอยู่ในมัสยิด พวกเขาเหล่านั้นเกือบที่จะออกมาจากการละหมาดด้วยความดีใจที่เห็นท่านเราะซูล มีอาการดีขึ้น ท่านอบูบักรคิดว่าท่านเราะซูล จะมานำละหมาด แต่ท่านได้ชี้ให้ท่านอบูบักรนำละหมาดให้ครบสมบูรณ์ แล้วท่านก็กลับไปที่นอนของท่าน (ซอเฮี๊ยอัลบุคอรี กิตาบุ้ลมะฆอซี บทการป่วยและการเสียชีวิตของท่านนบี(ซ.ล.) ฮะดิษเลขที่ 4448 ฟีฟัตฮิลบารี)

หลังจากที่ท่านเราะซูล ป่วยได้ 10 วัน ท่านได้เสียชีวิตลง ในขณะที่ศีรษะวางอยู่บนตักของท่านหญิงอาอีชะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เหตุการณ์นั้นเกิดในวันที่ 2 ของเดือนรอบีอุลเอาวาล ปีฮิจเราะฮ์ ที่ 11 ขณะนั้นท่านเราะซูล มี อายุ 63 ปี ข่าวการตายของท่านนั้นเหมือนกับสายฟ้าผ่าลงมายังบรรดามุสลิม จะมีใครเล่าที่เพิกเฉยต่อการจากไปของคนอันเป็นที่รักกระนั้นหรือ? สิ่งหนึ่งจากความหวาดกลัวก็คือบางคนนั้นไม่เชื่อว่าท่านเราะซูล เสียชีวิต ขณะนั้นท่านอบูบักรอยู่ชานเมืองมะดีนะฮ์ เมื่อทราบข่าวจึงรีบกลับมา และเข้าไปหาท่านเราะซูล อบูบักรได้เปิดผ้าคลุมและจูบที่หน้าผาก แล้วร้องให้และได้พูดว่า :

ขอไถ่ท่านด้วยกับสิทธิพ่อและแม่ของฉันว่า พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านตายสองครั้ง ครั้งแรกได้ประสบกับท่านแล้ว

ต่อมาท่านอบูบักรได้ออกไปยังผู้คน ในขณะที่ผู้คนกำลังสับสนกับการจากไปของท่านเราะซูล บางคนเชื่อ บางไม่เชื่อ ท่านอบูบักร จึงกล่าวว่า :

โอ้ผู้คนทั้งหลายใครอิบาดะฮ์ต่อมุฮัมมัด แท้จริงมุฮัมมัดนั้นตาย และใครที่อิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ผู้ทรงยืนยง

และท่านได้อ่านโองการของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า :

และมุฮัมมัดนั้น ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นเราะซูลผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งบรรดารอซูลก่อนจากเขาก็ล่วงลับไปแล้ว แล้วหากเขาตายไป หรือถูกฆ่า พวกท่านก็จะกลับไปสู่ศาสนาเดิมของพวกท่านกระนั้นหรือ? และใครที่กลับไปสู่ศาสนาเดิมของเขาก็ไม่ได้กระทบกระเทือนต่ออัลลอฮ์แต่อย่างใด และพระองค์อัลลอฮ์ จะทรงตอบแทนให้แก่บรรดาผู้ที่ขอบคุณเสมอ (อาละอิมรอน 3 : 144)

ผู้คนเหล่านั้นเป็นเสมือนกับว่าไม่เคยได้ยินอายะฮ์นั้นมาก่อนเลย และนี่เป็นเหตุการณ์หนึ่งจากเหตุการณ์หลายครั้ง ที่ท่านอบูบักรได้แสดงถึงการมีไหวพริบ ความฉลาด ความเข้าใจ และความมีอีหม่านที่เข้มแข็ง

การจัดการศพและการฝัง

ในวันต่อมา (วันอังคาร) จึงได้จัดให้มีการอาบน้ำ และห่อศพของท่านเราะซูล ซึ่งได้วางอยู่ในห้องของท่านหญิงอาอีชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา บรรดามุสลิมต่างทยอยเข้าไปละหมาดให้กับท่านโดยไม่มีอีหม่าม เมื่อการละหมาดเสร็จสิ้นลง ผู้คนต่างมีความเห็นขัดแย้งกัน ถึงสถานที่ เพื่อฝังท่านเราะซูล

ท่านอบูบักร รอยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านเราะซูล พูดว่า :

“อัลลอฮ์จะไม่ทรงเก็บชีวิตของนะบีคนหนึ่งคนใด นอกจากที่ซึ่งเขาชอบที่จะถูกฝังในที่ตรงนั้น”

ดังนั้นท่านอบูบักรจึงให้ผู้คนฝังท่านเราะซูลตรงที่นอนของท่าน(*1*) คือ ห้องของท่านหญิงอาอีชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา มารดาแห่งผู้ศรัทธาทั้งหลาย (*2*)

*1* สุนันอัตติรมิซี 3-338-วะเศาะฮะฮ่าฮู อัลบานี และมีรายรานฮะดิษอีกรูปแบบหนึ่งما قبض نبي إلا دفن قبض  ฟีมุสนัด อะบี ยะอฺลา 1/31 และสุนัน อัลบัยฮะกี 4/30

*2* การจัดการศพและการฝังศพของท่านนบี(ซ.ล.) ดู อัซซีเราะตุ้ลนะบ่าวี อิบนุฮิชาม 4/341 อิบนุกะซีร 4/329-533

ผลจากการตายของท่านเราะซูล

การจากไปของท่านเราะซูลได้สร้างความโศกเศร้าแก่บรรดาศอฮาบะฮ์อย่างมาก ใบหน้าของพวกเขาหมองคล้ำยังความเศร้าโศกแก่ชาวมะดีนะฮ์ และบรรดามุสลิมในคาบสมุทรอาหรับ จะไม่ให้โศกเศร้าได้อย่างไร? เพราะการที่ท่านเราะซูล มีชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขานั้น ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้พวกเขาเป็นอย่างมาก อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงนำพวกเขาออกจากความมืดมิดสู่แสงสว่าง รวมใจของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังจากที่ได้เคยขัดแย้งและแตกแยกกันมาก่อน และเมื่อเขาขาดท่านเราะซูลไป วะฮีย์ซึ่งเป็นความผูกพันระหว่างพวกเขากับพระเจ้าก็ต้องสิ้นสุดลง

ครั้งหนึ่งท่านอุมัรและอบูบักรร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้ไปเยี่ยมอุมมุอัยมัน ซึ่งได้เคยเลี้ยงดูท่านนะบี และหลังจากท่านเราะซูล จากไป เมื่อทั้งสองได้มาถึง นางก็ร้องไห้ ทั้งสองกล่าวว่า :

อะไรทำให้นางร้องไห้หรือ ท่านไม่ทราบหรือว่า ณ. อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้นมีการตอบแทนที่ดีสำหรับท่านเราะซูล อยู่แล้ว

นางกล่าวว่า :

"มิใช่ฉันไม่ทราบเช่นนั้นหรอกที่ทำให้ฉันร้องไห้ แต่ที่ฉันต้องร้องไห้ก็เพราะว่า บัดนี้วะฮีย์จากฟากฟ้า ไม่มีลงมาอีกแล้ว นางร่ำให้จนกระทั่งทำให้ทั้งสอง คืออบูบักรและท่านอุมัรต้องร้องไห้ตามไปด้วย" (ซออีอุมุสลิม 4/1907 ฮะดิษเลขที่ 2454)

บรรดามุสลิมมีความรู้สึกในการจากไปของท่านนะบี ว่ามันช่างโหดร้ายต่อจิตใจของพวกเขา ความมืดมิดปกคลุมรอบๆ พวกเขาทั้งหมด ท่าน อนัส บุตรของมาลิกร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า วันที่ท่านเราะซูล เข้ามาที่เมืองมะดีนะฮ์ แสงสว่างได้กระจายไปทั่วเมือง ครั้นเมื่อท่านเราะซูล จากไปความมืดมิดก็เข้ามาแทนที่ มือของพวกเราต่างก็สั่นไหว ขณะที่นำร่างของท่านเราะซูล ลงฝัง หัวใจของพวกเราไม่สามารถยอมรับการจากไปของท่านได้เลย

ส่วนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม คือบรรดาพวกมุนาฟิกีน ชาวยิว ชาวคริสต์ และชาวอาหรับบางกลุ่ม ต่างดีใจต่อการเสียชีวิตของท่านเราะซูลชาวอาหรับจำนวนมากตกศาสนา พวกคริสต์และยิวต่างเห็นความอ่อนแอของมุสลิม และแผ่นดินที่มุสลิมครอบครอง ดังนั้น มุสลิมจึงตกอยู่ในอันตรายที่ต้องเผชิญกับบรรดาศัตรู และอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงได้ให้ท่านอบูบักรเป็นผู้นำ และทำการปราบปรามพวกกบฏเหล่านั้น จนกระทั่งอิสลามกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่งในคาบสมุทรอาหรับ

ดร.อัดุลลอฮฺ อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอาน

 คุณอาจกำลังสนใจสิ่งนี้

ที่มา: www.islammore.com

อัพเดทล่าสุด